ภาวะน้ำท่วมที่เกษตรกรชาวสวนยางพารามักพบเสมอ ได้แก่
ภาวะน้ำท่วมแบบฉับพลันแล้วน้ำลดลงอย่างรวดเร็วและภาวะที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดความเสียหายกับต้นยาง
ความเสียหายบางกรณีสามารถแก้ไขเพื่อบรรเทาความสูญเสียลงได้บ้างจนถึงความเสียหายระดับรุนแรงจนต้องโค่นยางเพื่อปลูกใหม่
ซึ่งล้วนแต่ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราได้รับความสูญเสีย
โดยธรรมชาติของยางพาราเป็นพืชที่ทนต่อภาวะน้ำท่วมขังได้นานพอสมควร
(ประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือน)
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุต้นยางพารา, ระดับและความยาวนานของน้ำที่ท่วม
ทั่ว ๆ ไปพบว่า ในสภาพน้ำท่วมขังทำให้ความเข้มข้นของแก็สออกซิเจนในดินต่ำ จะมีผลทำให้รากยางพาราและจุลินทรีย์ในดินขาดแก็สออกซิเจนที่จะถูกนำไปใช้ในการหายใจ
และสมดุลของสารบางชนิดเปลี่ยนไป เช่น ธาตุเหล็ก อะลูมินัม
มีปริมาณมากขึ้นจนเป็นพิษต่อต้นยางพารา และบางครั้งก็ทำให้เกิดการสูญเสียธาตุอาหารพืชจากดิน
ผลกระทบกับต้นยางโดยตรงคือทำให้ลำต้นแคระแกรน โคนต้นโต แตกพุ่มเตี้ย และใบเหลืองซีด คล้ายขาดธาตุไนโตเจน บางครั้งพบปลายยอดแห้งตาย บางพื้นที่แม้ต้นยางพาราจะมีอายุถึง 10 ปีแล้ว ยังไม่สามารถเปิดกรีดได้เพราะต้นมีขนาดเล็กมาก
สำหรับต้นยางพาราที่ยังเป็นยางอ่อนอายุน้อยกว่า 4 ปี จะทนภาวะน้ำท่วมขังได้ไม่เกิน 5-10 วัน ส่วนต้นยางที่อายุมากกว่า 5 ปี จะทนต่อสภาวะน้ำท่วมขังได้มากกว่า พบต้นยางแสดงอาการในเหลืองร่วง
และรากเน่า โดยเฉพาะส่วนของรากฝอยที่ทำหน้าที่ในการดูดน้ำและธาตุอาหารในดิน
นอกจากนี้
เชื้อราอาจเข้าทำลายส่วนของรากและโคนต้นหรือส่วนที่เป็นแผลทำให้กระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยางพารา
หากอาการรุนแรงอาจทำให้ต้นยางตายได้ แลระดับน้ำท่วมขังก็มีความสำคัญเช่นกัน
หากระดับน้ำสูง 0.5-1.0 เมตร
ถึงแม้ว่าจะท่วมเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แค่วันเดียวก็ตาม
อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับต้นยาง โดยเฉพาะน้ำท่วมถึงบริเวณหน้ากรีด
จะทำให้เชื้อราเข้าทำลายได้ง่าย เพราะการกรีดยางเป็นการทำให้ต้นยางเกิดแผลทางหนึ่ง
เชื้อราที่เข้าทำลายบริเวณหน้ากรีดอาจทำให้เกิดโรคเส้นดำหรือหน้ากรีดเน่าในช่วงเวลาดังกล่าวควรหยุดกรีดยาง
และทาสารเคมีเมทาแลกซิล ทุกสัปดาห์ติดต่อกันจนกว่าจะหาย
นอกจากนี้ ในภาวะที่ฝนตกติดต่อกันหลายวันหรือน้ำท่วมทำให้ดินอ่อนตัวลงโดยเฉพาะรอบ
ๆ บริเวณโคนต้นจึงทำให้ต้นยางโค่นล้มได้ หรือกรณีสวนยางพาราโดนลมหรือพายุฝน
ทำให้ส่วนของกิ่ง ก้านยางฉีกขาดจนกระทั่งล้ม มีทั้งล้มเป็นบางต้น และล้มเป็นแถบ ๆ
เหมือนโดมิโน เกษตรกรควรสังเกตด้วยว่าต้นยางล้มเฉพาะบางส่วน เนื่องจากอยู่บริเวณช่องลมพัดผ่านประจำเป็นรอบ
ๆ ทุก 5-10 ปี
ควรหลีกเลี่ยงการปลูกยางและเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น เช่น พืชไร่
ที่มีอายุสั้นหรือพืชที่ทนต่อลม เป็นต้น
แต่ถ้าต้นยางล้มเป็นบริเวณกว้างและไม่เคยเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อนให้ถือว่าเป็นภัยธรรมชาติยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
แนวทางการฟื้นฟูสวนยางพาราที่ได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วม
เร่งสำรวจสภาพทั่วไปของสวนยางเพื่อตัดสินใจว่าควรจะจัดการกับสวนยางอย่างไร
ระหว่างโค่นเพื่อปลูกใหม่หรือแก้ไขและบำรุงรักษาสวนยางต่อไป
หากต้นยางได้รับความเสียหายมากกว่า 50% ของสวน เช่น ปลูกต้นยางไร่ละ
76 ต้น หากเสียหาย 50% จะมีจำนวนต้นยางคงเหลือ
38 ต้น/ไร่ หรือกรณีสวนยาง 10 ไร่
มีต้นยางคงเหลือเพียง 380 ต้น
ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าต้นยางที่เหลือรอดอยู่ติดกันหรือกระจัดกระจายทั้งแปลง
ซึ่งมีผลต่อการปฏิบัติดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดวัชพืช หรือการกรีดยางในอนาคต
คนกรีดต้องเดินไกลกว่าจะได้กรีดยางต้นหนึ่ง
และต้นยางที่อยู่ระหว่างต้นว่างมีโอกาสล้มได้ง่าย
เพราะต้นยางที่ติดกับหลุมว่างจะมีทรงพุ่มขนาดใหญ่ หนาและหนัก ทำให้โค่นล้มได้ง่าย
เพียงแค่ดินอ่อนตัวเนื่องจากฝนตกติดต่อกันหรือมีพายุเพียงเบาๆ โดยทั่วไปต้นยางบริเวณใกล้เคียงจะช่วยเป็นแนวบังลมให้กันและกัน
ปลูกซ่อมแทนต้นยางที่ตายเฉพาะสวนยางอายุ 1 - 2 ปี เท่านั้น หากอายุมากกว่านี้ไม่ควรปลูกซ่อม
เพราะต้นยางเจริญเติบโตไม่ทันต้นอื่น ๆ เนื่องจากถูกต้นข้างเคียงแก่งแย่งแสง น้ำ
และอาหาร อย่างไรก็ตาม หากเกิดภาวะน้ำท่วมซ้ำอาจจะทำให้ต้นยางอายุ 1 – 2 ปี ตายได้
สวนยางที่ยังมีน้ำท่วมขัง
ให้รีบทำการระบายน้ำออกไปจากสวนโดยการขุดร่องน้ำบริเวณตรงกลางระหว่างแถวยาง
ใช้ได้เฉพาะแรงงานคนและเครื่องจักรขนาดเล็กเท่านั้น
ไม่ควรใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการขุดร่องน้ำ เพราะโครงสร้างของดินยังไม่แน่นพอ
อาจทำให้โครงสร้างดินเสียหายและกระทบกระเทือนต่อระบบราก
เป็นอันตรายต่อต้นยางเป็นอย่างมาก
ทำการตัดแต่งกิ่ง ก้าน และทรงพุ่มของต้นยาง
ที่ฉีกขาดเสียหาย ควรตัดกิ่งออกให้หมดเพื่อตกแต่งรอยแผลและตัดกิ่งที่เสียหายให้หมด
และขณะเดียวกันก็ต้องตัดแต่งกิ่งที่มีทิศทางไม่สมดุลกับกิ่งที่เหลืออยู่ออกบางส่วน
เพื่อป้องกันไม่ให้ทรงพุ่มที่เหลืออยู่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง
กรณีส่วนของต้นยางเป็นแผลเล็กน้อย
ให้ใช้ปูนขาวผสมน้ำอัตราส่วน 1 ต่อ 1
แช่ค้างคืน หรือใช้สีน้ำมันทาจากโคนต้นถึงระดับความสูงประมาณ 1
เมตร หรือหากมีแผลขนาดใหญ่หรือสภาพอากาศยังชื้นอยู่ เช่น ทางภาคใต้
ควรใช้สารเคมีเบนเลท ทาแผลเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราเข้าทำลายส่วนของเนื้อเยื่อได้
กรณีต้นที่เอนไปด้านใดด้านหนึ่งมาก
หรือลำต้นโค้งเนื่องจากได้รับความเสียหายจากลม แต่กิ่งก้านไม่ฉีกขาด
ควรแก้ไขโดยการตัดแต่งกิ่งก้านด้านที่หนักไปข้างใดข้างหนึ่งออก
หากต้นยังเอนอยู่ควรใช้เชือกผูกยึดต้นยางไว้หรือใช้ไม้ค้ำยันเพื่อให้ลำต้นตั้งตรงได้
ข้อระวัง ต้องไม่ให้เชือกที่ผูกยึดต้นยางเสียดสีเปลือกยาง ควรใช้วัสดุบางอย่าง
เช่น ยางในล้อรถจักรยานรองระหว่างเชือกกับต้นยาง
ต้นยางที่ล้มเป็นแนวระนาบขนานไปกับพื้นดิน
พบว่ารากยางจะขาดและได้รับความเสียหาย
ถึงแม้ว่าจะยกต้นยางขึ้นตั้งตรงอีกครั้งก็ตาม ส่วนของรากได้แก่ รากแก้ว
รากแขนงมักฉีกขาดเสียหาย
บางครั้งพบว่าจุดเชื่อมต่อโคนคอดินหรือรากแก้วขาดหรือเป็นแผล ในยางเล็กอายุ 4 – 5 ปี ควรตัดแต่งกิ่งออกบางส่วนเพื่อรักษาสมดุลของทรงพุ่มและลดการคายน้ำของต้นยาง
ส่วนต้นยางอายุมากกว่า 5 ปี ขึ้นไป
ตัดกิ่งและใบที่อยู่เหนือคาคบประมาณ 0.5 – 1.0 เมตร
แล้วยกต้นให้ตั้งตรงโดยให้ไม้ค้ำยัน แล้วหมั่นคอยเปลี่ยนไม้ค้ำยันที่ผุพังออกไป
เพราะหากต้นยางล้มอีกครั้ง ส่วนใหญ่ต้นยางมักจะตาย
ขณะเดียวกันต้นยางที่ยกขึ้นตั้งตรงใหม่หากเป็นต้นยางเล็กก็อาจจะฟื้นคืนสภาพกลับมาได้
แต่ถ้าเป็นต้นยางใหญ่ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นคืนสภาพ อย่างไรก็ตาม
ในต้นยางใหญ่ที่เปิดกรีดแล้วมักพบว่าต้นยางที่ยกขึ้นตั้งตรง
บริเวณส่วนของเปลือกยางจะแสดงอาการเปลือกแห้งจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตน้ำยางได้
เนื่องจากอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์แสงจะถูกนำไปใช้ในการฟื้นฟู
ซ่อมแซมและเสริมสร้างการเจริญเติบโตมากกว่าการนำไปสร้างน้ำยาง
ซึ่งการยกต้นยางขึ้นมีข้อดีเพียงไม่ปล่อยให้บริเวณรอบ ๆ
ต้นยางที่เหลืออยู่เป็นพื้นที่ว่างเปล่าและเกษตรกรยังอาจจะมีรายได้จากการขายไม้ยาง
อย่างไรก็ตาม การยกต้นยางขึ้นควรรีบทำภายในเวลา 3
– 5 วัน
หากทิ้งไว้นานกว่านี้ใบยางจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและจะร่วงหล่นทำให้ต้นยางโทรมมาก
ในสวนยางที่กรีดแล้วเกษตรกรควรหยุดกรีดยางสักระยะเพื่อให้ต้นยางได้ฟื้นตัวและเป็นการป้องกันไม่ให้เข้าไปเหยียบย่ำดินตลอดจนทำลายรากยาง
การฟื้นฟูสวนยางที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมขัง
ควรรีบระบายน้ำออกจากสวนยางโดยเร็ว
และรอให้น้ำแห้งรวมทั้งดินแข็งตัวเสียก่อนแล้วจึงค่อยเข้าไปปฏิบัติงาน
เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายรากยางโดยตรงเฉพาะรากฝอยที่เจริญขึ้นมาใหม่ให้สามารถดูดอาหารและน้ำไปเลี้ยงต้นยาง
ไม่ควรใส่ปุ๋ยไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยคอกและปุ๋ยชีวภาพในขณะที่น้ำท่วมยังไม่แห้งดี
เพราะทำให้ธาตุไนโตเจนที่อยู่ในรูปของไนเตรทและยูเรียเปลี่ยนรูปเป็นไนไตรท์
ทำให้เกิดภาวะความเป็นพิษต่อต้นยาง เนื่องจากส่วนของรากขาดก๊าซออกซิเจน
เป็นการซ้ำเติมต้นยางที่ทรุดโทรมเนื่องจากน้ำท่วมให้อาการหนักขึ้นไปอีก นอกจากนี้
ต้นยางฟื้นตัวได้ช้ารวมทั้งอาจจะทำให้ต้นยางอ่อนแอกระทั่งถึงตายได้ อีกประการหนึ่ง
การใส่ปุ๋ยคอกในขณะที่ยังมีน้ำท่วมอยู่บ้าง อาจจะไปส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในดินมีการหายใจมากขึ้นจึงทำให้ส่วนของรากยางขาดก๊าซออกซิเจนได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น เกษตรกรไม่ควรใส่ปุ๋ยทันที
ต้องรอให้ต้นยางฟื้นตัวและแข็งแรงเสียก่อนสิ่งที่ควรทำคือ
รีบใส่ปุ๋ยในช่วงต้นฤดูฝนปีถัดไป
เรียบเรียงโดย
ระบบจัดการความรู้ การยางแห่งประเทศไทย
- Advertisement -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น