ปัจจุบันเกษตรกรทางภาคอีสานและภาคเหนือนิยมผลิตยางก้อนถ้วย เนื่องจากใช้น้ำน้อย ประหยัดแรงงาน มีเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ต้นทุนการผลิตต่ำ
ยางก้อนถ้วยนับว่าเป็นวัตถุดิบยางขั้นต้นที่ใช้ในการผลิตยางแท่ง
โดยมีปริมาณการผลิตทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ 386,173 ตัน และ 55,375 ตัน (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2559) หรือร้อยละ 75 และ 70 ตามลำดับ ของผลผลิตยางทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการผลิตยางแท่งหลายรายมักประสบปัญหาเรื่องคุณภาพยางก้อนถ้วยที่ไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่อการนำยางแท่งไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะล้อยางพาหนะ
สาเหตุจากการใช้สารจับตัวยางชนิดอื่นที่ไม่ใช่กรดฟอร์มิคในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกรดซัลฟิวริค
เกลือแคลเซียมคลอไรด์ กรดที่อ้างว่าเป็นกรดอินทรีย์ กรดชีวภาพ กรดออร์แกนิค นำส้มควันไม้ น้ำหมักชีวภาพ เป็นต้น
สารจับตัวยางที่จำหน่ายในภาคอีสานและภาคเหนือมีมากกว่า 30 ชนิด บางชนิดใช้สัญลักษณ์เดียวกัน
แต่สีของสารละลายแตกต่างกัน มีตั้งแต่ใสไม่มีสี สีเหลืองอ่อน สีเหลืองเข้ม สีดำ เป็นต้น
บางชนิดยี่ห้อเดียวกันแต่มีฉลากระบุสำหรับทำยางก้อนถ้วยบ้าง ทำยางแผ่นบ้าง มีทั้งระบุและไม่ระบุถึงวิธีการใช้งาน
มีทั้งใช้โดยตรงและต้องเจือจางน้ำ ทั้งหมดจะไม่ระบุชนิดของกรด ไม่ระบุวันเดือนปี ที่หมดอายุ
ยกเว้นกรดฟอร์มิคที่จะระบุชื่อว่า “ฟอร์มิค”
จากการสำรวจพบว่าเกษตรกรภาคอีสานมีปริมาณการใช้กรดซัลฟิวริคถึงร้อยละ 60 เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้กรดฟอร์มิคจนทำให้ผู้ประกอบการยางแท่งกังวลว่าผู้ผลิตยางล้ออาจสั่งยกเลิกออเดอร์ยางอีสาน
เนื่องจากปริมาณซัลเฟตตกค้างในยางสูงจนกลายเป็นปัญหาใหม่ที่กระทบต่ออุตสาหกรรมยาง
นอกจากนี้ การใช้กรดดังกล่าวยังก่อมลพิษต่อสุขภาพของแรงงานตามสวนยางและสถานที่รับซื้อ
รวมถึงปัญหาน้ำยางเหม็นไหลลงตามถนน จนสร้างความเดือดร้อนต่อผู้ใช้รถใช้ถนนและชุมชน
👉สารจับตัวยางที่มีส่วนผสมกรดซัลฟิวริค
กรดซัลฟิวริคมีจำหน่ายกันมากทางภาคอีสาน
ส่วนใหญ่มักเป็นสารปลอมปนสารเคมีชนิดอื่นลงไปด้วยสารปลอมปนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของยางก้อนถ้วยที่นำไปผลิตเป็นยางแท่งแทบทั้งสิ้น
โดยพบว่าสารจับตัวที่จำหน่ายในรูสารละลายมักจะอ้างชื่อต่างๆ นานา เช่น กรดออร์แกนิค
กรดชีวภาพ กรดซุปเปอร์ชีวภาพ กรดอินทรีย์ กรดสู้ฝน ทำให้เกษตรกรหลงเชื่อถึงความปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม
จากการศึกษาพบว่าสารจับตัวตามที่อ้างมีส่วนผสมของเนื้อกรดซัลฟิวริค
ร้อยละ 8 – 25 นอกจากนี้ ยังพบองค์ประกอบของเกลือแคลเซียม แมกนีเซียม และโซเดียมอีกด้วย
ส่งผลให้ยางมีความยืดหยุ่นต่ำลง ยางแข็ง ค่าความหนืดสูงยางเสื่อมสภาพเร็ว ทั้งยังทำให้ยางคล้ำ
ผิวหน้าเยิ้มปริมาณความชื้นมีค่าสูงเกินกว่ามาตรฐานที่ระบุ ยิ่งนำสารปลอมปนต่าง ๆ เหล่านี้ไปผลิตเป็นยางแผ่นดิบจะเห็นผลชัดเจนขึ้นคือ
ยางจะย้วยและอ่อนตัว ไม่สามารถจัดเป็นยางแผ่นดิบคุณภาพดีได้
ข้อดีของกรดซัลฟิวริคมีข้อเดียวคือยางจับตัวเร็วภายใน 30 นาที นอกนั้นเป็นข้อเสียของกรดซัลฟิวริคทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำยางก้อนถ้วยเกษตรกรจะต้องหยอดน้ำกรดลงในถ้วยรองรับน้ำยาง
การใช้กรดซัลฟิวริคที่เป็นกรดแก่แม้ว่าจะเจือจางแล้วก็ตาม โอกาสที่ไอของน้ำกรดไปสัมผัสกับหน้ากรีดหรือกระเด็นไปโดนหน้ากรีด
จะทำให้หน้ากรีดมีสีคล้ำ และมีโอกาสที่จะเกิดอาการเปลือกแห้ง ส่งผลให้ต้นยางมีอายุกรีดได้สั้นลง ยกตัวอย่างสารออร์แกนิคยี่ห้อหนึ่งระบุว่า
สามารถใช้แทนกรดน้ำส้มได้เป็นอย่างดี มีราคาถูกกว่า ปลอดภัยกว่า น้ำยางสามารถจับตัวแข็งตัวไวกว่า ก้อนยางสีสวย ไม่ติดก้นถ้วย ไม่มีกลิ่นของสารระเหยที่รุนแรงกับจมูก ไม่แสบคันเมื่อสัมผัส ขี้ยางไม่มีกลิ่นเหม็น
สามารถใช้แทนกรดน้ำส้มได้เป็นอย่างดี มีราคาถูกกว่า ปลอดภัยกว่า น้ำยางสามารถจับตัวแข็งตัวไวกว่า ก้อนยางสีสวย ไม่ติดก้นถ้วย ไม่มีกลิ่นของสารระเหยที่รุนแรงกับจมูก ไม่แสบคันเมื่อสัมผัส ขี้ยางไม่มีกลิ่นเหม็น
จากการศึกษาพบว่า มีองค์ประกอบของกรดซัลฟิวริคเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยกรดอะซีติกในปริมาณเล็กน้อย และกรดฟอร์มิคในปริมาณที่น้อยมาก
และเมื่อทดลองใช้กรดออร์แกนิคตามที่อ้างเปรียบเทียบกับการใช้กรดฟอร์มิคเกรดทางการค้าในยางก้อนถ้วยพบว่า
ยางแห้งช้า เหนียวเยิ้มที่ผิวของก้อนยาง และเมื่อทดลองนำมาผลิตยางแผ่น ยางที่ใช้กรดออร์แกนิคจะมีสมบัติทางกายภาพต่ำกว่ามาตรฐานยางแท่ง STR 20 โดยเฉพาะค่าความอ่อนตัวเริ่มแรก
(Po) ต่ำกว่าการใช้กรดฟอร์มิคประมาณ 10 หน่วย มีค่าความหนืดต่ำกว่าประมาณ
20 หน่วย และมีปริมาณความชื้นที่เกินกว่ามาตรฐานที่ระบุในมาตรการยางแท่ง STR
นอกจากนี้ ยังไม่มีความสามารถในการดึงปริมาณแคลเซียมออกจากเนื้อยางทั้งๆ
กรดออร์แกนิคตามที่อ้างพบว่า มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ยางเกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ
และสีของยางก้อนถ้วยยังคงขาวขุ่นทั้ง ๆ ที่ตั้งทิ้งไว้นานนับเดือน ทำให้ยางแผ่นดิบที่ใช้กรดออร์แกนิคชนิดนี้ในการจับตัวยาง
เนื้อยางไม่แข็งแรง แผ่นยางเกิดการย้อยตัว
จึงสรุปได้ว่าไม่แนะนำให้ใช้กรดออร์แกนิคตามที่อ้างในการผลิตยางดิบทุกประเภท
รวมทั้งสารอื่นๆ ที่มักพบทั้งในรูปสารละลายและที่เป็นผง ส่งผลต่อการนำยางก้อนถ้วยไปผลิตเป็นยางแท่ง
โดยเฉพาะสารซัลเฟตที่ตกค้างก่อให้เกิดผลเสียหายต่อกระบวนการผลิตทำให้เครื่องจักรสึกกร่อนเร็วขึ้น
ใช้พลังงานสูงขึ้น
ส่วนน้ำเสียที่เกิดขึ้นมีสีคล้ำยากต่อการบำบัดและส่งกลิ่นเหม็นกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์จากยางแห้งที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
น้ำหมักชีวภาพ และ น้ำส้มควันไม้
สถาบันวิจัยยาง ได้กำหนดมาตรฐานยางแผ่นดิบคุณภาพดี ด้วยกรรมวิธีที่ใช้กรดอินทรีย์ที่สลายตัวง่าย เช่น กรดฟอร์มิค ในการจับตัวยางเพื่อให้ได้ยางแผ่นที่มีสีสวย ไม่มีสารตกค้างในแผ่นยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำยางแผ่นให้มีความสะอาดนั้นจะต้องพิถีพิถันในขั้นตอนการกรอง การใช้น้ำสะอาด
สถาบันวิจัยยาง ได้กำหนดมาตรฐานยางแผ่นดิบคุณภาพดี ด้วยกรรมวิธีที่ใช้กรดอินทรีย์ที่สลายตัวง่าย เช่น กรดฟอร์มิค ในการจับตัวยางเพื่อให้ได้ยางแผ่นที่มีสีสวย ไม่มีสารตกค้างในแผ่นยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำยางแผ่นให้มีความสะอาดนั้นจะต้องพิถีพิถันในขั้นตอนการกรอง การใช้น้ำสะอาด
แต่การทำยางแผ่นดิบของเกษตรกรบางรายพบว่า
มีการใช้สารที่สกัดจากธรรมชาติหรือสารชีวภาพ เช่น น้ำส้มควันไม้ และ น้ำหมักชีวภาพ
ทดแทนการใช้กรดในการจับตัว โดยมีรายงานว่าน้ำส้มควันไม้สามารถยับยั้งเชื้อราได้
ส่วนน้ำหมักชีวภาพมีความเป็นกรดสูงใช้จับตัวยางได้เช่นกัน
ทำให้มีผู้ประกอบการหลายรายจำหน่ายทั้งน้ำส้มควันไม้และน้ำหมักชีวภาพเพื่อนำมาใช้จับตัวยางก้อนถ้วย
โดยให้เหตุผลว่าปลอดภัยต่อผู้ใช้ ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีกลิ่น ยางไม่ขึ้นรา จับตัวเร็ว
มีการใช้น้ำหมักชีวภาพทั้งในการผลิตยางแผ่นดิบและยางก้อนถ้วย
โดยพบว่าระยะเวลาการจับตัวขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำหมักชีวภาพที่ใช้
หากใช้ในปริมาณมากสามารถจับตัวได้เร็วขึ้น แต่ยางแผ่นดิบที่ได้จะมีสีคล้ำมาก เมื่อนำไปจัดชั้นยางจะได้ยางแผ่นคุณภาพคละและจากการทดลองนำน้ำหมักชีวภาพผลิตยางก้อนถ้วยจะต้องใส่ในปริมาณมากถึง 50 มิลลิลิตร ยางจะจับตัวได้อย่างสมบูรณ์
ก้อนยางสีคล้ำ เมื่อนำไปผลิตเป็นยางแท่งจัดได้ยางแท่งชั้น STR 20
หากเปรียบเทียบกับยางก้อนถ้วยคุณภาพดีจะสามารถจัดเป็นชั้น STR 10 ได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ ส่วนมากเกษตรกรมักใช้น้ำส้มควันไม้ในการทำยางแผ่น
เนื่องจากคิดว่าแผ่นยางไม่ขึ้นรา แต่จากการศึกษาการใช้น้ำส้มควันไม้ ทั้งใส่ จุ่ม แช่
ในยางแผ่นดิบพบว่า ไม่สามารถยับยั้งเชื้อราได้ทุกกรณี ยางแผ่นดิบที่ได้จัดเป็นคุณภาพคละ
โดยมีปริมาณสิ่งสกปรกในแผ่นยางมากกว่ายางแผ่นดิบที่จับตัวด้วยกรดฟอร์มิค
ทั้งยังทำให้ยางแผ่นมีสีคล้ำ ด่าง ดำ
การใช้น้ำส้มควันไม้จับตัวในปริมาณที่มากเกินพอจะเสียค่าใช้จ่ายในการทำยางแผ่นเพิ่มขึ้น
น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร ราคา
100 บาท หากเกษตรกรใส่ในอัตรา 90 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักยางแผ่น
1 กิโลกรัม จะเสียค่าใช้จ่ายในการทำยางแผ่นถึง 9 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่ใส่กรดฟอร์มิค 1 ลิตร ราคา 50 บาท มีต้นทุนการใช้กรดไม่เกิน 0.32 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นการผลิตยางแผ่นดิบจึงไม่แนะนำให้ใส่น้ำส้มควันไม้
นอกจากจะส่งผลต่อสมบัติยางแผ่นดิบ แล้วยังทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าการจับตัวด้วยกรดอีกด้วย
👉เกลือแคลเซียม
เกลือที่มักจำหน่ายเพื่อจับตัวยางก้อนถ้วยมักอยู่ในรูปแคลเซียมคลอไรด์
โดยโฆษณาข้างขวดว่าได้น้ำหนักดี เป็นสูตรสู้ฝน ยางจับตัวดี เป็นต้น ทำให้เกษตรกรบางรายหลงเชื่อใช้เกลือชนิดนี้แทนกรดฟอร์มิค
จากการศึกษาพบว่า ยางที่จับตัวด้วยแคลเซียมคลอไรด์จะแข็งกระด้าง
ขาดความยืดหยุ่น ผิวหน้าก้อนยางเหนียวเยิ้ม สีดำ คล้ำ หลังจากที่ตั้งทิ้งไว้นานกว่า 7 วัน พบว่า ก้อนยางมีสีคล้ำมากขึ้นและผิวหน้ายังคงเหนียวเยิ้ม
ขณะที่ยางก้อนที่จับตัวด้วยกรดฟอร์มิคจะได้เนื้อยางที่จับตัวแน่นสมบูรณ์ ความยืดหยุ่นดี
นอกจากนี้ ผลการทดสอบสมบัติเชิงวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบกับมาตรฐานยางแท่ง STR 10 พบว่า ยางก้อนถ้วยที่ใส่เกลือแคลเซียมคลอไรด์มีปริมาณความชื้นสูงมาก
ปริมาณความอ่อนตัวเริ่มแรก และดัชนีความอ่อนตัวต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งบ่งชี้
ถึงยางขาดความยืดหยุ่น ทำให้ยางมีลักษณะเปื่อยยุ่ยขาดความคงทน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความหนืดต่ำมาก แสดงถึงโมเลกุลยางถูกทำลาย
อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบสมบัติการคงรูปเป็นข้อแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่ายางก้อนถ้วยที่จับตัวด้วยเกลือแคลเซียมคลอไรด์มีค่าความทนแรงดึง
การทนต่อแรงยืดจนขาด ทั้งก่อนบ่มเร่งและหลังบ่มเร่ง ต่ำกว่ายางก้อนที่ใช้กรดฟอร์มิคในการจับตัวมาก ส่งผลให้ค่าความหนืดต่ำ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการนำยางเหล่านี้ไปทำเป็นผลิตภัณฑ์และก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการผลิตและมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ที่นำยางไปใช้
👉กรดฟอร์มิค
สถาบันวิจัยยางได้แนะนำให้ใช้กรดฟอร์มิคหรือที่เรียก
“กรดมด” เป็นสารจับตัวยาง เนื่องจากเป็นสารอินทรีย์ที่ระเหยได้ง่าย มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคือ HCOOH มีคาร์บอนเพียงตัวเดียว จึงนับว่าเป็นกรดอ่อนที่มีความแรงของกรดไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับกรดชนิดอื่น
ในทางการค้ามีความเข้มข้น 94% หรือ 90% ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต นับว่ากรดฟอร์มิคเป็นกรดอินทรีย์ชนิดเดียวที่จับตัวยางได้อย่างสมบูรณ์
เนื้อยางมีความยืดหยุ่นดี ซึ่งเป็นสมบัติที่สำคัญที่สุดของยางธรรมชาติ อีกทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและไม่ตกค้างในยาง
มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง
ในวงการอุตสาหกรรมด้านยางพารา กรดฟอร์มิคเป็นสารจับตัวยางใช้ในการผลิตยางแผ่นดิบ
ยางก้อนถ้วย และยางแท่ง STR 5L สามารถจับตัวสมบูรณ์ได้ภายใน
45 นาที สีของยางที่แห้งแล้วเหลืองสวย ไม่คล้ำยางแห้งเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
แต่ยังพบเกษตรกรรายย่อยยังคงใช้กรดซัลฟิวริค
หรือที่เรียกกรดกำมะถัน ในการทำยางแผ่น ซึ่งกรดชนิดนี้เป็นกรดแก่ค่อนข้างอันตราย มีกลิ่นเหม็นแสบจมูก
หากจะใช้ในการทำยางก้อนถ้วยจะส่งผลกระทบต่อหน้ากรีด เกิดสีดำคล้ำ เพราะไอของกรดมีเกลือซัลเฟตจะเปลี่ยนสภาพเป็นซัลไฟด์ที่มีสีคล้ำ
และยังพบว่าเกษตรกรมักใช้ในอัตรามากกว่ากำหนด ซึ่งส่งผลให้แผ่นยางมีสีคล้ำ เกิดฟองอากาศ
แผ่นยางเหนียว แห้งช้า เนื้อแข็งกระด้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกษตรกรนำยางไปตากแดด
ยิ่งทำให้ยางเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้นจัดเป็นยางคุณภาพคละ ซึ่งขายได้ราคาต่ำกว่ายางคุณภาพดีเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.20 บาท
สำหรับต้นทุนของกรดฟอร์มิกอยู่ที่ 0.32 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่กรดซัลฟิวริคมีต้นทุนไม่เกิน 0.15 บาทต่อกิโลกรัม ในท้องตลาดมักพบสารละลายกรดซัลฟิวริกที่เจือจางแล้วเข้มข้น
5 - 10% พร้อมใช้บรรจุในขวดขนาด 750 ซีซี ราคาจำหน่ายขวดละ
15-20 บาท
หากจะเปรียบเทียบกับกรดฟอร์มิค เกรดทางการค้าแล้ว
พบว่ามีราคาสูงกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
👉กรดอะซีติค
กรดอะซีติกหรือที่เรียกกรดน้ำส้ม สามารถจับตัวยางได้เช่นกัน
แต่กรดชนิดนี้เป็นกรดอ่อนกว่ากรดฟอร์มิคมีกลิ่นฉุน กรดอะซีติค ทางการค้าความเข้มข้น 99.85%แกลลอนขนาด 30 กิโลกรัม ราคา 900 บาท ส่วนกรดฟอร์มิค ความเข้มข้น
94% แกลลอนขนาด 35 กิโลกรัมราคา 1,300 บาท
แต่ในการทำแผ่นต้องใช้ปริมาตรของกรดอะซีติคมากกว่าฟอร์มิคถึง 2 เท่า จึงทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าและในการจับตัวยางยังต้องใช้ระยะเวลาการจับตัวนานกว่า
ซึ่งหากเกษตรกรจะใช้ระยะเวลาในการจับตัวเท่ากับที่เคยใช้กรดฟอร์มิคจับตัวยางแล้วเนื้อยางจะจับตัวไม่สมบูรณ์
น้ำเซรั่มยังคงขาวขุ่นจะได้เนื้อยางอ่อน ส่วนสีของแผ่นจะมีสีเหลืองใสเช่นเดียวกับฟอร์มิค
ส่วนความยืดหยุ่นต่ำกว่าฟอร์มิก และน้ำเสียที่เกิดจากการใช้กรดอะซีติคมีกลิ่นเหม็นฉุนจากกรดน้ำส้มที่ยังคงตกค้างอยู่
กรดฟอร์มิค เป็นสารจับตัวยางที่ดีที่สุดสำหรับทำยางทุกชนิดเนื่องจากเป็นกรดอินทรีย์ที่ระเหยง่ายปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม
สามารถจับตัวสมบูรณ์ไม่เกิน 1
ชั่วโมง เนื้อยางมีความยืดหยุ่นดี สีสวย เหมาะในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางทุกชนิด
กรดอะซีติค ถึงแม้ว่าจะเป็นกรดอ่อน แต่มีกลิ่นฉุนใช้ระยะเวลาการจับตัวที่นานกว่า
มีราคาแพงกว่ากรดฟอร์มิค
กรดซัลฟิวริค เป็นกรดอนินทรีย์ จัดว่าเป็นกรดแก่ที่อันตราย มีปริมาณซัลเฟตตกค้างในยางก้อนถ้วยมากยากต่อการสลายตัว
ถึงแม้ว่าจะจับตัวยางได้เร็วกว่ากรดชนิดอื่นแต่ทำให้ยางรัดตัวแน่น แข็ง ปริมาณความชื้นในยางสูงจากปริมาณซัลเฟตที่ดูดความชื้นจากอากาศ
ยางจึงเหนียวเยิ้มและมีสีคล้ำ ในทางการค้ามักมีการเติมเกลือแคลเซียมคลอไรด์จึงทำให้ยางมีความยืดหยุ่นต่ำ
สร้างความเสียหายอย่างมากต่อผลิตภัณฑ์และเครื่องจักรที่สึกกร่อนเร็วอีกทั้งตกค้างในสิ่งแวดล้อม
น้ำส้มควันไม้และน้ำหมักชีวภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติมีฤทธิ์เป็นกรด
แต่ก็ส่งผลต่อสมบัติทางกายภาพของยาง ทำให้มีปริมาณสิ่งสกปรกในยางสูง ความหนืดสูง และมีต้นทุนการผลิตมากกว่ากรดฟอร์มิค
เกลือแคลเซียมคลอไรด์ ทำให้ก้อนยางเหนียวเยิ้มสีดำคล้ำ ยางแข็งกระด้าง
ความหนืดสูง ความต้านทานต่อการเสื่อมสภาพต่ำ ปริมาณความชื้นสูง หากนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์จะต้องใช้พลังงานในการบดยางสูงโอกาสที่บดผสมยางกับสารเคมียาก
และได้ผลิตภัณฑ์ยางที่มีคุณภาพต่ำ
ดังนั้น หากเกษตรกรต้องการซื้อสารจับตัวยางควรศึกษาองค์ประกอบของสารเคมีและความเข้มข้นที่ระบุข้างขวดเท่านั้น
แต่หากไม่มีก็ไม่ควรใช้และหันไปใช้กรดฟอร์มิคซึ่งจะระบุชื่อ ความเข้มข้นอย่างชัดเจน
และจากการที่ใช้สารจับตัวยางชนิดที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลกระทบต่อการนำยางก้อนถ้วยไปแปรรูปยางแท่งและผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ยางยานพาหนะที่มีปริมาณการใช้จากยางแห้งมากที่สุด
และควรช่วยกันรณรงค์มาใช้กรดฟอร์มิค ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบว่ามีสารจับตัวยางที่มีราคาถูกกว่าและคุณภาพดีกว่า
นอกจากนี้ควรนึกถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก
เรื่องโดย ปรีดิ์เปรม ทัศนกุล
ศูนย์วิจัยยางสงขลา สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย
4 ความคิดเห็น:
น้ำหมักชีวภาพก็ใช้ได้ ประหยัด ชุมชนใกล์แหล่งวัตถุดิบสามารถทำเองได้ ทำไมศูนย์วิจัยไม่แนะนำ หรือไม่รู้เรื่อง
น้ำหมักชีวภาพก็ใช้ได้ ประหยัด ชุมชนใกล์แหล่งวัตถุดิบสามารถทำเองได้ ทำไมศูนย์วิจัยไม่แนะนำ หรือไม่รู้เรื่อง
น้ำหมักชีวภาพก็ใช้ได้ ประหยัด ชุมชนใกล์แหล่งวัตถุดิบสามารถทำเองได้ ทำไมศูนย์วิจัยไม่แนะนำ หรือไม่รู้เรื่อง
เพราะน้ำหมักชีวภาพมีต้นทุนสูงกว่ากรดฟอร์มิก อีกทั้งกรดฟอร์มิกแท้เป็นกรดอินทรีย์ ไม่ส่งผลกระทบต่อส่งแวดล้อม ยางเนื้อแน่น มีความยืดหยุ่นดี สีสวย ทำให้ราคาดี
แสดงความคิดเห็น