ยกเว้นเรื่องการตั้งกำแพงภาษีการนำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อยางจากไทยอันดับ 1 ของโลก
อาจส่งผลบ้างแต่คาดว่าในทางปฏิบัติน่าจะทำได้ยาก เพราะจะกระทบในระดับมหภาค
ควรจะใช้นโยบายการค้าเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันมากกว่า
แต่ไทยจะเดินหน้ายกระดับคุณภาพยางตั้งแต่การปลูกจนกระทั่งการแปรรูปเพื่อการส่งออก
หวังจะเป็นประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดีอันดับ 1 ของโลก
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เผยว่า ประเทศไทยส่งยางพาราออกไปประเทศสหรัฐอเมริกาในปี
2558 ที่ผ่านมา ประมาณ 16,500 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท
ถือได้ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศผู้ซื้อยางจากไทยเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยส่วนมาก ยางที่ส่งออกจะเป็นยางประเภท ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน
และน้ำยางข้น เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของประเทศ
นโยบายในการพัฒนาประเทศ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
หากพิจารณานโยบายด้านเศรษฐกิจของดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ผู้ชนะการเลือกตั้ง
ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 45 ในเดือนมกราคมปีหน้านั้น
พบว่า ประเด็นนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในระยะแรกอาจจะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน แต่คาดว่าในที่สุดแล้ว
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
ซึ่งจะส่งผลดีกับราคายางภายในประเทศของไทย
เนื่องจากการค้าขายยางระหว่างประเทศส่วนมากจะค้าขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
จึงทำให้ราคายางเมื่อคิดกลับเป็นเงินบาทมีราคาเพิ่มขึ้น
หรือกรณีนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่สหรัฐอเมริกาได้มีการกล่าวว่า
จีนกดค่าเงินหยวนให้อ่อนเพื่อประโยชน์ทางการส่งออก (Currency
manipulation) ทำให้สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมาก หากสหรัฐอเมริกากดดันให้เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น
ผลกระทบที่เกิดกับประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกยางเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตของจีน
การแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนจึงไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันราคายาง
แต่กลับจะส่งเสริมให้การส่งออกเพิ่มขึ้น หรือนโยบายการตั้งกำแพงภาษี
สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีนเป็น 45% ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมกับสถานการณ์ยางในประเทศไทย
เนื่องจากจีนเป็นประเทศหลักในการส่งออกยาง
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลักในการส่งออกผลิตภัณฑ์ของจีน รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางล้อรถยนต์
ดังนั้น
หากสหรัฐอเมริกาเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของจีนในตลาดสหรัฐอเมริกาลดลง
และส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อยางจากประเทศไทย
“หากคาดการสถานการณ์การส่งออกยางไทยหลังจากดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์
เป็นประธานาธิบดี นโยบายด้านเศรษฐกิจของทรัมป์
โดยทางตรงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ยางในประเทศไทย สำหรับนโยบายการ America
First โดยขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หรือการกดดันค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นคาดว่าจะส่งผลดีกับยางในประเทศไทย
แต่สำหรับการตั้งกำแพงภาษีการนำเข้าจากจีน คาดว่าในทางปฏิบัติน่าจะทำได้ยาก
เพราะจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของพลเมืองสหรัฐอเมริกา ดังนั้น สหรัฐอเมริกาน่าจะใช้นโยบายการค้าเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันมากกว่าการดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวซึ่งจะนำไปสู่การพิพาท”
ดร.ธีธัช กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตยางอันดับ 1 ของโลก มองว่า แม้จะมีหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศอาเซียนได้ขยายพื้นที่ปลูกยาง
ในขณะเดียวกัน ไทยกำลังลดพื้นที่ปลูกยางเพื่อให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น
ลดปัญหาที่เกิดจากความไม่เสถียรภาพของราคายาง หรือการส่งเสริมการปลูกยางแบบผสมผสาน
เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไทย
แต่ศักยภาพในการพัฒนายางพาราไทย ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการสวนยางตามหลักวิชาการ
เพื่อให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ของเกษตรกรสูงขึ้น
หรือด้านการตลาดที่รัฐบาลได้ร่วมกับประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติแห่งใหญ่ของโลกคือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย
โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนยางระหว่างประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของยาง
รวมถึง กยท.ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบครบวงจร
เร่งหาแนวทางลดต้นทุนการผลิต ยกระดับคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐานในระดับสากล
พร้อมทั้ง แสวงหาตลาดใหม่เพื่อทำการค้าระหว่างประเทศ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้
เป็นการพัฒนายางพาราทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ
เรื่องคุณภาพยางตั้งแต่กระบวนการปลูกจนกระทั่งการแปรรูปเพื่อการส่งออก
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจะไม่เพียงแต่จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกเท่านั้น แต่ไทย จะเป็นประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดีอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น