ผู้ส่งออกยางรายใหญ่ 5 บริษัท และการยางแห่งประเทศไทย เดินหน้าร่วมกันจัดตั้ง บริษัท
ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด ทำหน้าที่บริหารกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายางที่มีเงินอยู่
1,200 ล้านบาท โดยมี กยท.
และบริษัทผู้ส่งออกเอกชนรายใหญ่ของประเทศทั้ง 5 บริษัท
ได้แก่
บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน)
บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด
บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น ประเทศไทย
จำกัด (มหาชน)
และบริษัท เซาท์แลนด์ รับเบอร์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้น
ล่าสุด ได้มีการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรก
เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการและการบริหารจัดการกองทุน พร้อมกับมีมติเห็นชอบร่วมกันให้กองทุนฯ
เข้าลงทุนซื้อยางทั้งในตลาดซื้อขายยางจริงจากตลาดกลางทั้ง 6 แห่งของ กยท. ที่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางอยู่แล้ว
ได้แก่ หนองคาย บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และยะลา
และจะมีการซื้อขายผ่านทางตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า TFEX โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อผลักดัน
และรักษาให้ราคายางอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า กองทุนรักษาเสถียรภาพราคายางได้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง
คือ เริ่มมีการจัดตั้งกองทุน มีการประชุมหารือถึงข้อกำหนดการดำเนินงาน
รวมไปถึงการกำหนดวันที่จะเข้าซื้อยาง ซึ่งจะเริ่มในสัปดาห์หน้า
โดยเป็นการซื้อขายยางพาราจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผ่านตลาดกลางยางพาราของ กยท.
และขณะเดียวกันจะมีการซื้อขายยางในตลาดล่วงหน้า TFEX เพื่อสะท้อนราคาในตลาดต่างประเทศด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันเป้าหมายคือเพื่อให้เกิดเสถียรภาพราคายาง
และทำให้ความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยางดีขึ้น
ไชยยศ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ โดยเฉพาะมี กยท. เป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นกลางเพื่อการส่งออกมีความเข้มแข็งขึ้นมา และส่งผลไปยังผู้ผลิตต้นน้ำ ซึ่งเป็นเกษตรกรชาวสวนยางจะสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า กระบวนการทำงานของกองทุนเป็นอย่างไร ผลที่จะเกิดขึ้นแก่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเกษตรกรจะเป็นอย่างไร
คาดว่าน่าจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของราคาโดยเฉพาะในตลาดล่วงหน้า
เช่น ญี่ปุ่น จีน หรือสิงคโปร์ ซึ่งคิดว่า
ต่อไปนี้ประเทศไทยน่าจะเทียบเท่ากับประเทศเหล่านี้ได้ เพราะความร่วมมือครั้งนี้
เป็นการสร้างศักยภาพของประเทศเพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจว่ากระบวนการห่วงโซอุปทาน (Supply
chain) และห่วงโซ่คุณค่า (Valued Chain) ของไทยก็มีบทบาทหนึ่งในนั้นด้วย
“อย่างน้อยเสียงเราก็ดังทำให้รู้ว่าไทยก็มีตัวตนอยู่
เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีพืชผลทางการเกษตรออกจากสวนที่จะนำไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์หรืออุตสาหกรรมยางพาราอื่นๆ
ต่อไป แต่หากมีการเอาเปรียบทางราคา ก็จะส่งผลดีต่อวัตถุดิบได้ในอนาคต” ไชยยศ กล่าว
รวมไปถึงการร่วมนำเงินลงในกองทุนฯ
โดยไม่หวังในเรื่องของผลกำไร คิดเพียงแต่ต้องการให้ราคายางสูงขึ้นเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน จะเป็นการสื่อสารให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยสามารถเป็นเบอร์หนึ่งเรื่องของยางพาราได้
ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้ทั้งโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรหรือผู้ประกอบกิจการ
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เราในฐานะผู้ถือหุ้นในกองทุนฯ
จะเร่งทำงานให้เกิดผลสำเร็จให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยเกษตรกร และช่วยราคายางพาราให้ดีและสูงขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพราคายางให้คงที่ ไม่กลับไปสู่จุดที่ราคาตกต่ำอีกครั้ง
advertivsing
สนใจลงโฆษณา โทร 08-6335-2703
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น