ยางฟอง กับยางพอง มีความหมายแตกต่างกันมักใช้เรียกคุณภาพยางแผ่นรมควัน
หากทราบสาเหตุ ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก
ยางทั้งสองชนิด เมื่อนำไปขายจะได้ราคาต่ำ
เนื่องจากส่งปัญหาในขั้นตอนการบดยางผสมสารเคมี
หากนำยางไปขึ้นรูปจะเกิดการเปราะบางของเนื้อยางบริเวณที่สารเคมีกระจายตัวไม่สม่ำเสมอและไม่ทั่วถึง
ยางจะเกิดการฉีกขาดหรือเกิดการระเบิดได้ง่าย ถือว่าเป็นข้อตำหนิร้ายแรงในการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์
ยางฟอง หมายถึง
ยางที่มีฟองอากาศ ซึ่งในการจัดชั้นยางตามมาตรฐาน The Green
Book อนุญาตให้มีฟองอากาศขนาดเล็กในยางแผ่นรมควันชั้น 3 แผ่นรมควันชั้น 4 และแผ่นรมควันชั้น 5 ได้เล็กน้อย และในมาตรฐาน GMP กำหนดฟองอากาศขนาดเล็กเท่าปลายเข็มหมุดไม่เกิน
5% ของพื้นที่แผ่นทั้งหมด
แต่หากขนาดฟองอากาศมีขนาดเล็กกระจายทั่วแผ่นหรือฟองอากาศขนาดใหญ่จะไม่สามารถจัดชั้นได้
จัดได้เพียงเกรดยางฟองเท่านั้น ซึ่งมีราคาต่ำกว่ายางแผ่นรมควันชั้น 5 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2 บาท
ยางพอง
หมายถึงยางพุพองจากการใช้ความร้อนในการรมควันที่อุณหภูมิสูงเกินไป
โดยเฉพาะวันแรกของการรมควัน
ความร้อนที่ไปสัมผัสกับแผ่นยางทำให้ผิวหน้าของแผ่นยางแห้ง
ขณะที่น้ำที่อยู่ในแผ่นยางจะขยายตัวอย่างรวดเร็วและจะดันผิวหน้ายางออกมาจนกลายเป็นพุพองในที่สุด
ยางพองจะไม่อนุญาตให้มีในยางแผ่นรมควันทุกชั้น จัดได้เพียงเศษยางเท่านั้น
ซึงมีราคาต่ำกว่ายางแผ่นรมควันชั้น 5 มาก บางครั้งราคาต่างกันถึงกิโลกรัมละ 20 บาท
1. ใช้ระยะเวลาในการรวบรวมน้ำยางนาน โดยเฉพาะการกรีดยางตั้งแต่ช่วงเย็นหรือช่วงค่ำ
หรือใช้เวลาตั้งแต่กรีดแล้วทำการรวบรวมน้ำยาง ส่งโรงงานนานกว่า 6 ชั่วโมง ทำให้น้ำยางบูดเน่าจนทำให้น้ำยางเป็นฟองอากาศ นอกจากนี้เมื่อนำน้ำยางผสมกับน้ำกรดจับตัวทำแผ่น
ไม่สามารถไล่ฟองอากาศออกได้หมด เกิดฟองอากาศกระจายทั่วแผ่น
2. ใช้สารเร่งน้ำยาง การใช้สารเร่งน้ำยางส่งผลให้น้ำยางไหลนานเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
48 ชั่วโมง น้ำยางจะเริ่มบูดจากการย่อยสลายของจุลินทรีย์ที่อยู่ในถุงเก็บรวบรวมน้ำยาง
นับว่าเป็นปัญหามากกับเกษตรกรที่มักใช้สารเร่งน้ำยางในขณะที่ต้นยางอายุเพียง 10
-15 ปี ถือว่าเป็นการใช้สารเร่งน้ำยางที่ผิดวัตถุประสงค์
ซึ่งสถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย มีข้อแนะนำให้ใช้เฉพาะต้นยางแก่หรือใกล้โค่นเท่านั้น
3. น้ำยางโดนน้ำฝน
ในขณะที่กรีดน้ำยางแล้วเกิดฝนตกใส่ถ้วยรับน้ำยาง
น้ำฝนที่มีการปะปนของเชื้อจุลินทรีย์เป็นตัวเร่งให้น้ำยางเกิดการเสียสภาพได้ง่ายจนเกิดเป็นฟองอากาศได้ในที่สุด
4. ใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์หรือที่เรียกโซดาไฟ เป็นสารรักษาสภาพน้ำยาง
สารชนิดนี้ห้ามใช้ในการรักษาสภาพน้ำยางเนื่องจากทำปฏิกิริยาเคมีกับน้ำอย่างรุนแรงและส่งผลให้ยางแผ่นเหนียวเยิ้ม
มีฟองอากาศและมีสีคล้ำ
5. ใช้ปั๊มดูดน้ำยางสดลงตะกงทำแผ่น
ทำให้น้ำยางโดนกระแทกเกิดฟองอากาศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งน้ำยางจะขาดเสถียรภาพเร็วขึ้นส่งผลให้น้ำยางจับตัวได้เร็วกว่าปกติ
ฟองอากาศที่อยู่ในน้ำยางไม่สามารถลอยขึ้นมาได้ทันในระหว่างที่ยางเริ่มจับตัว
6. กวนน้ำยางกับน้ำกรดแรงเกินไป
ทำให้เกิดฟองอากาศกระจายทั่วแผ่น
7. ใช้กรดจับตัวยางในอัตราความเข้มข้นน้อยกว่าคำแนะนำ
ทำให้ยางจับตัวไม่หมดส่งผลให้ส่วนของยางที่ยังไม่จับตัวเริ่มบูด
และเกิดฟองอากาศได้ในที่สุด
8. เตรียมสารละลายกรดในอัตราเข้มข้นมากเกินไป
กวนน้ำยางกับน้ำกรดไม่ทั่ว ยางจะจับตัวเป็นย่อมๆ
ฟองอากาศจะลอยขึ้นสู่ผิวหน้าไม่ทัน ทำให้เกิดฟองอากาศกระจายทั่วแผ่น
9. ปาดฟองออกไม่หมด ในขั้นตอนการผลิต
จึงมักเจอยางฟองบริเวณตามขอบของแผ่น
10. ใช้อุณหภูมิในการรมควันสูงเกินไป
มักจะเกิดขึ้นในวันที่สองหรือสามของการรมควัน มักเจอฟองอากาศบริเวณปลายแผ่น
Advertising
1. กรีดยางหลังเที่ยงคืน
กรองและรวบรวมน้ำยางสดส่งโรงงานผลิตให้เร็วที่สุด
2. ใช้สารเคมีรักษาสภาพที่เหมาะสมและจำเป็นเพื่อป้องกันน้ำยางจับตัว
ซึ่งตามคำแนะนำของฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย
แนะนำให้ใช้โซเดียมซัลไฟต์ในอัตรา 0.05% ต่อน้ำหนักน้ำยางสดหรือนำโซเดียมซัลไฟต์
50 กรัมผสมน้ำ 1 ลิตร
ต่อการรักษาสภาพน้ำยางสด 100 กิโลกรัม
3. ถ่ายน้ำยางสดลงในบ่อรวมยางแล้วปล่อยน้ำยางลงตะกงตามแรงโน้มถ่วงของโลก
หากบ่อรับน้ำยางมีความลึกมากเกินไปให้ทำรางหรือวัสดุรองรับน้ำยางในขณะที่เทน้ำยางสด
เพื่อลดแรงกระแทกที่ทำให้น้ำยางเกิดฟองอากาศ
4. กวนน้ำยางผสมน้ำและน้ำกรดให้ทั่วเบา ๆ
ในขั้นตอนการทำแผ่น
5. ใช้กรดจับตัวยางในอัตราที่เหมาะสม
ซึ่งตามคำแนะนำให้ใช้ในอัตรา 0.6% ต่อปริมาณเนื้อยางแห้งและเจือจางให้มีความเข้มข้น
4% เพื่อให้น้ำกรดกระจายตัวกับน้ำยางได้สม่ำเสมอและจับตัวสมบูรณ์
6. ทำการปาดฟองออกให้หมด
7. ใช้อุณหภูมิในการรมควันในระดับที่เหมาะสมโดยควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน
55oC ตลอดระยะเวลาการรมควัน
ยางพอง เกิดจากการให้ความร้อนในการรมควันวันแรกสูงเกินไป ส่งผลให้น้ำที่อยู่ในแผ่นยางเกิดการดันออกมาที่ผิวแต่เนื่องจากผิวหน้ายางแห้ง
น้ำไม่สามารถเคลื่อนตัวออกมาได้แต่เกิดการขยายตัว จนเกิดเป็นยางพุพองในที่สุด
แนวทางการแก้ปัญหายางพอง
ใช้อุณหภูมิในการรมควันในระดับที่เหมาะสมโดยควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 55 องศาเซลเซียส ตลอดระยะเวลาการรมควัน
เนื่องจากในวันแรกน้ำที่อยู่ในแผ่นยางมีความชื้นสูงประมาณ 27% การใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้น้ำที่อยู่ในแผ่นยางค่อย ๆ
เคลื่อนตัวออกมาที่ผิว
ผสมกับความร้อนในขณะรมควันระเหยออกไปทางปล่องระบายความชื้นและควัน
ดังนั้นการควบคุมวิธีการผลิตยางแผ่นรมควันตั้งแต่การรวบรวมน้ำยางสด
การจับตัวยาง ตลอดจนการรมควันที่ดี
นอกจากจะเป็นการลดปัญหาการเกิดยางฟองและยางพองแล้ว
ยังสามารถผลิตยางแผ่นรมควันที่มีคุณภาพดี
ลดของเสียจากการผลิตและยังสามารถจำหน่ายยางในราคาที่สูงขึ้นได้อีกด้วย
เรื่อง :
ปรีดิ์เปรม ทัศนกุล
Advertising
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น