“สวนยางพาราถูกต้องตามหลักการสวนป่าทุกประการสามารถพัฒนาเป็นป่าได้ คุณโค่นทำไม…?” คำถามจาก พงศา ชูแนม
Labels:
News
ผลจากมาตรการ “ทวงคืนผืนป่า”
เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าของรัฐบาล
โดยเฉพาะการบุกรุกป่าด้วยการปลูกยางพารา ทำให้ต้นยางจำนวนมากถูกตัดโค่น
ซึ่งมาตรการดังกล่าวกำหนดไว้ว่า
หากต้นยางมีอายุปลูก
1-3 ปี จะใช้มาตรการตัดโค่นทิ้งทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ปลูกแปลงเล็กหรือแปลงใหญ่
เพื่อปลูกป่าทดแทนฟื้นฟูสภาพแหล่งต้นน้ำ หากต้นยางอายุ 4 ปีขึ้นไป
หรือเติบโตพอจะสามารถกรีดน้ำยางได้แต่ไม่เกิน 20 ปีจะทยอยตัดทั้งหมดพร้อมปลูกไม้ยืนต้นเสริมแล้วฟื้นฟูสภาพป่า
อีกทั้งการลดพื้นที่ปลูกยางในเขตบุกรุกจะช่วยลดปริมาณการผลิตยางลง จะช่วยแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้อีกทาง
อีกทั้งการลดพื้นที่ปลูกยางในเขตบุกรุกจะช่วยลดปริมาณการผลิตยางลง จะช่วยแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้อีกทาง
ในมุมของ พงศา ชูแนม อดีตหัวหน้าหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ จ.ชุมพร
เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว และรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารต้นไม้ ได้เคยแสดงจุดยืนในนามของชาวธนาคารต้นไม้ ขอให้รัฐบาลหยุดตัดโค่นต้นยางพารา เพื่อทวงคืนผืนป่า
โดยให้เหตุผลว่า
2.ยางพาราเป็นเสมือนไม้โตเร็วเบิกนำเพื่อฟื้นฟูบำบัดเยียวยาธรรมชาติจากพืชไร่เชิงเดี่ยวมายาวนาน
3.การปลูกยางพาราไม่ต่างจากการทำสวนป่าเชิงเดี่ยวที่รัฐกำลังส่งเสริมเพื่อใช้พลังงานชีวมวล โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนส่งเสริม
4.การโค่นยางพารา 4 ล้านไร่ไม่ใช่การได้ป่าคืนมา 4 ล้านไร่ มีแต่การสูญเสียที่ทำกิน 4 ล้านไร่และสูญเสียสวนป่าพร้อมกัน 4 ล้านไร่
5.การโค่นยางพารา 4 ล้านไร่ ไม่ใช่หลักประกันว่าผลผลิตจะล้นหรือไม่ล้นตลาดและราคายางจะขึ้นหรือลง
6.การโค่นยางพารามีค่าใช้จ่ายสูงทั้งจัดกำลังและการปลูกทดแทนและหมายถึงมีเป้าหมายการคอรัปชั่นในการใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่าไร่ละ 5,000 บาท × 4 ล้าน = 2 หมื่นล้าน หรือเท่ากับงบ อบต.หนึ่งพันแห่งในหนึ่งปี
7.วิธีการแบบนี้ไม่มีประเทศใดในโลกเขาทำกัน เพราะมีแต่สูญเสีย ทั้งเศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อม
8.การไม่โค่นต้นยางพาราไม่ได้ทำให้ประเทศสูญเสียที่ดินแต่อย่างใด..เพราะอย่างไรมันก็เป็นแดนดินไทยและคนไทยเป็นเจ้าของทุกประการ
3.การปลูกยางพาราไม่ต่างจากการทำสวนป่าเชิงเดี่ยวที่รัฐกำลังส่งเสริมเพื่อใช้พลังงานชีวมวล โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุนส่งเสริม
4.การโค่นยางพารา 4 ล้านไร่ไม่ใช่การได้ป่าคืนมา 4 ล้านไร่ มีแต่การสูญเสียที่ทำกิน 4 ล้านไร่และสูญเสียสวนป่าพร้อมกัน 4 ล้านไร่
5.การโค่นยางพารา 4 ล้านไร่ ไม่ใช่หลักประกันว่าผลผลิตจะล้นหรือไม่ล้นตลาดและราคายางจะขึ้นหรือลง
6.การโค่นยางพารามีค่าใช้จ่ายสูงทั้งจัดกำลังและการปลูกทดแทนและหมายถึงมีเป้าหมายการคอรัปชั่นในการใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่าไร่ละ 5,000 บาท × 4 ล้าน = 2 หมื่นล้าน หรือเท่ากับงบ อบต.หนึ่งพันแห่งในหนึ่งปี
7.วิธีการแบบนี้ไม่มีประเทศใดในโลกเขาทำกัน เพราะมีแต่สูญเสีย ทั้งเศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อม
8.การไม่โค่นต้นยางพาราไม่ได้ทำให้ประเทศสูญเสียที่ดินแต่อย่างใด..เพราะอย่างไรมันก็เป็นแดนดินไทยและคนไทยเป็นเจ้าของทุกประการ
พร้อมกับเสนอแนะรัฐบาลว่า
1.ประกาศหาเจ้าของทุกแปลงแล้วจัดการให้ขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมาย
2.สร้างเงื่อนไขในการอนุญาตว่าต้องลดจำนวนต้นยางพาราลงเพื่อปลูกต้นไม้ป่าแทรกในอัตรารวม 100 ต้น/ไร่ จะหนาแน่นเหมือนป่าสมบูรณ์
3.ให้ต้นไม้เป็นของคนปลูก ที่ดินเป็นของรัฐ จ่ายค่าเช่าที่ในอัตราสูงขึ้นเมื่อเกิน 25 ไร่
4.สร้างเงื่อนไขในการยึดคืนและลงโทษถ้าฝืนกฎที่ตกลง
5.แยกแยะผลผลิตระหว่างผลผลิตจากที่ดินกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจนด้วยข้อมูลจริง
6.การรักษาสภาพนิเวศให้เสถียรโดยการให้ตัดโค่นต้นไม้และต้นยางพาราได้แต่ต้องคงไว้ไม่น้อยกว่า 25 ต้น/ไร่ ตลอดไป
วิธีการนี้จะรักษาสังคมเศรษฐกิจและสร้างป่าโดยรัฐไม่ต้องลงทุนไม่เกิดการคอรัปชั่น
1.ประกาศหาเจ้าของทุกแปลงแล้วจัดการให้ขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมาย
2.สร้างเงื่อนไขในการอนุญาตว่าต้องลดจำนวนต้นยางพาราลงเพื่อปลูกต้นไม้ป่าแทรกในอัตรารวม 100 ต้น/ไร่ จะหนาแน่นเหมือนป่าสมบูรณ์
3.ให้ต้นไม้เป็นของคนปลูก ที่ดินเป็นของรัฐ จ่ายค่าเช่าที่ในอัตราสูงขึ้นเมื่อเกิน 25 ไร่
4.สร้างเงื่อนไขในการยึดคืนและลงโทษถ้าฝืนกฎที่ตกลง
5.แยกแยะผลผลิตระหว่างผลผลิตจากที่ดินกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจนด้วยข้อมูลจริง
6.การรักษาสภาพนิเวศให้เสถียรโดยการให้ตัดโค่นต้นไม้และต้นยางพาราได้แต่ต้องคงไว้ไม่น้อยกว่า 25 ต้น/ไร่ ตลอดไป
วิธีการนี้จะรักษาสังคมเศรษฐกิจและสร้างป่าโดยรัฐไม่ต้องลงทุนไม่เกิดการคอรัปชั่น
พาศา แสดงความคิดเห็นไว้อีกว่า สวนยางพาราถูกต้องตามหลักการสวนป่าทุกประการ เพราะ...
1. การปลูกสร้างสวนป่าฟื้นฟูทดแทนป่าเสื่อมโทรม
ต้องเริ่มจากการปลูกไม้เบิกนำโตเร็วเพื่อให้เกิดการเติบโตปกคลุมพื้นดินโดยเร็ว และยางพาราคือพืชเบิกนำโตเร็ว
2.การปลูกสร้างสวนป่าในช่วงเริ่มต้นต้องได้รับการดูแลให้อัตราการรอดตายมาก
จึงต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเบื้องต้นจนเติบใหญ่ สวนยางพาราก็เป็นเช่นนั้น
โดยไม่ต้องเปลืองและให้ใครโกงภาษีประชาชน
3.การปลูกสร้างสวนป่าจะต้องเกิดการจ้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน
สวนยางเป็นแหล่งรายได้ตั้งแต่ปลูกจนตัด
4.การสร้างสวนป่าต้องสร้างสำนึกรักต้นไม้และคำนึงถึงการจัดการผลผลิตไม้เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไม้เพื่อวัสดุและเชื้อเพลิง
รวมถึงการปลูกทดแทนซึ่งสวนยางพาราก็ตอบโจทย์นี้
5.การปลูกสร้างสวนป่า เมื่อต้นไม้หนาแน่นเกินก็ตัดสางให้ระยะจำนวนพอดี
ทั่วโลกยึดเอา 60-120 ต้น/ไร่ ซึ่งสวนยางพารา มีจำนวน 60-80 ต้นอยู่แล้วจึงเหมาะและไม่ต้องตัดสาง
6.การสร้างสวนป่าปลายทางคือการตัดไม้เพื่อการค้า สร้างรายได้
เมื่อถึงเวลาหรือโตเต็มที่สวนยางพาราก็ใช่อีก
7.สวนป่า รัฐทำเองโดยกรมป่าไม้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) และเคยส่งเสริมให้ประชาชนปลูกในพื้นที่ต่างๆ
เพื่อวัตถุประสงค์การใช้ไม้และฟื้นฟูระบบนิเวศ
แม้นแต่การส่งเสริมรายใหญ่เช่าป่าปลูกยูคาก็มี และที่สำคัญรัฐออกมติครม.ให้ ออป.ปลูกป่าในป่าสงวนแล้วตัดเพื่อการค้า.และยังโค่นไม้มีค่าหันมาปลูกยางพาราแทน
เพื่อฟื้นฟูป่าด้วยหลักหลายแสนไร่ ซึ่งคือสวนยางพาราเหมือนกัน
8.สวนยางพาราประเทศอื่นสามารถนับเป็นป่าแบบป่าปลูก แต่ประเทศไทยไม่นับ แม้สวนยางพาราจะสร้างเศรษฐกิจ รายได้หล่อเลี้ยงชาติมาเป็นศตวรรษเป็นป่าเศรษฐกิจที่ดีที่สุดและรัฐไม่ต้องลงทุน
- advertisement -
“ผมจึงยืนยันว่า
สวนยางพาราคือสวนป่าตามหลักวิชาการ เป็นป่าเศรษฐกิจ
และมีพัฒนาการเป็นป่าสมบูรณ์หลากหลายทางชีวภาพสามารถเก็บกักคาร์บอนได้ดีกว่าป่าธรรมชาติทุกประเภทของไทย
จากพื้นดินโล้นแล้งจากพืชเชิงเดี่ยว ด้วยการสร้างป่ายางพาราอย่างยั่งยืน
ที่ชาวธนาคารต้นไม้ได้ทำเป็นตัวอย่างจำนวนมาก” เขาแสดงจุดยืน
ที่มา : พงศา ชูแนม ข้าราชการหัวใจประชาชน
ที่มา : พงศา ชูแนม ข้าราชการหัวใจประชาชน
- Advertisement -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น