เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 60 เวลา 13.00 น. นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สยยท.)
เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้เกี่ยวข้องด้านยางพาราเพื่อหาข้อสรุปถึงแนวทางแก้ไขปัญหายาพาราทั้งระบบ (ต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำ ณ ห้องประชุมสำนักงานการยางแห่งประเทศไทย จ. สุราษฎร์ธานี เพื่อหาข้อสรุปถึงแนวทางแก้ไขปัญหายาพาราทั้งระบบ
โดยมีมาตรการเร่งด่วนดังนี้
1 ปัจจุบันราคายาง ราคาแผ่นดิน ราคา
43 บาท/กก ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. กำหนดไว้ 63.65 บาท/กก ซึ่งต่างกันประมาณ 20 บาท/กก
จึงเป็นเหตุให้ชาวสวนยาง และคนกรีดยางต่างเดือดร้อน เนื่องจากการบริหารของ กยท. ผิดพลาด
สาเหตุมาจาก
▶ ปัญหาที่ กยท.ระงับการซื้อขายยาง
3 ตลาด ที่สงขลา สุราษฏร์ธานี บุรีรัมย์ ซึ่งตลาดได้เปิดมาแล้วเป็นเวลา
30 ปี ได้สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรมาตลอด แต่ กยท.สั่งระงับการซื้อขายในครั้งนี้
ทำให้ขาดความเชื่อถือทั้งจากภายในและต่างประเทศ และถือโอกาสกดราคาทันที
▶ ในการที่ กยท.ร่วมทุนกับ 5 เสือ
และมอบให้ BU เป็นผู้จัดซื้อยางเพื่อชี้นำราคา
แต่ BU ซื้อยางไม่ครบทุกตลาด เลือกตลาดที่มียางน้อยและให้ราคาสูง
แตกต่างกับอีก 5 ตลาด ถึง 3-4 บาท/กก. เป็นการดำเนินงานที่ไม่ถูกต้อง
▶ การกำหนดราคากลางของ
กยท. มีกฎเกณฑ์ ที่ซื้อสูงหรือต่ำ 2 บาท งดการซื้อขาย ซึ่งทำให้กลไกตลาดเสียหาย เกษตรกรขนยางเข้าตลาด
ขายไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนจนต้องขนยางออกมาขายนอกตลาด ถูกกดราคา
▶ กยท. จัดซื้อยาง
แล้วไม่ได้เตรียมแผนในการนำยางไปอัดก้อน และกระจายไปโรงรมควัน แต่ กยท. กลับกองยางสุมทิ้งไว้
จนยางเหนียวติดกันแน่น และจะกลายเป็นยางคัดทิ้ง ส่งผลให้ราคายางจะตกลงทันที สร้างความเสียหายให้
กยท. และประเทศชาติ
▶ กยท. ควรออกแนะนำการใช้ฮอร์โมนเพิ่มผลผลิตตามคำแนะนำของสถาบันวิจัยยาง
ซึ่งจะเพิ่มผลผลิตอีก อย่างน้อย 1 เท่าตัว แต่ต้องใช้กับอายุยาง
15 ปี ขึ้นไป นับแต่วันปลูก และควรจ่ายปุ๋ยบำรุงเพิ่มโดยกรีด 1 วัน เว้น 2 วัน
(วันหยุดกรีดไปหารายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง
ต้นยางจะไม่เสียหายเพาะเมื่อราคายางในมาเลเซียเขาตกต่ำ เขาจะแจกยาเร่งน้ำยาง
และปุ๋ยให้เกษตรกร เพื่อแก้ปัญหา ฟรีๆ
2.สรุปแนวทางในการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยเร่งด่วนแล้ว
มีมติเป็นเอกฉันท์ดังนี้
▶ ให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ปลดผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการยางออกตามเหตุผลที่เสนอมาข้างต้นเพราะบริหารงานผิดพลาด
▶ ให้มีการสรรหาผู้ว่าการยางฯ คนใหม่ที่เป็นมืออาชีพมีความรอบรู้เรื่องยางพารา
และเปิดโอกาสรับฟังเสียงของทั้งผู้ประกอบการ
และเกษตรกรชาวสวนยาง โดยเฉพาะจะต้องดูแลเรื่ององค์กร กยท. ไม่ให้เกิดความแตกแยกแบ่งเป็น
2 มาตรฐานอย่างที่ผ่านมาทำให้พนักงานบางคนไม่มีขวัญและกำลังใจปฏิบัติงาน
▶ ให้มีการทบทวนกฎระเบียบบางมาตราใหม่
เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทั้งด้านการดำเนินงานและการให้บริการต่าง ๆ
▶ ให้สร้างความเชื่อมั่นตลาดกลางยางพารา 6 ตลาด ของ กยท. ในการชี้นำราคายางที่เป็นไปตามความเป็นจริงของตลาดโลก
▶ ให้เร่งรื้อฟื้นตลาดท้องถิ่นของ กยท.
108 ตลาด ทั้งหมดให้ดำเนินการซื้อขายยางโดยด่วน
เพราะได้ของบไปซื้ออุปกรณ์มาปีเศษแล้ว
▶ สนับสนุนสถาบันเกษตรกรรายย่อยที่รับซื้อยาง
โดยให้เงินทุนกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อแบ่งเบาภาระการรับซื้อยางจากเกษตรกร
▶ รีบดำเนินการจัดตั้งบริษัทจำกัด
หรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราตามมาตรา 10(6)
เพื่อเป็นการเชื่อมโยง 6 ตลาด ,108 ตลาด และรวมทั้งตลาดเกษตรกร เพื่อดำเนินการธุรกิจซื้อขายยาง และเพื่อใช้เป็นตัวกลางรวบรวมและจัดหาตลาดผลิตภัณฑ์ยางของเกษตรกรที่ทำอาชีพเสริม
3. ให้ กยท. วิจัยและพัฒนาหรือสรรหาพันธุ์ยางพาราใหม่ ๆ ที่ดีกว่าปัจจุบัน เพื่อให้คุ้มต้นทุนการผลิต และควรหาพันธุ์ยางที่ผลผลิตน้ำยางไม่น้อยว่า
400 กิโลกรัม /ไร่/ปี อาทิเช่น RRIT
251 เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนและปัญหาคนกรีดยางหนี
รวมทั้งเพื่อเป็นการรองรับการเกิดโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
4.
ให้ กยท. สนับสนุน ให้เกษตรกรชาวสวนยางทำอาชีพเสริม
เพื่อเมื่อยางราคาตกต่ำจะได้หยุดกรีดยาง เพื่อให้ยางขาดตลาด ราคาจะขึ้นทันที
▶ ส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรกรแบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพ่อหลวงรัชกาลที่
9
คือมีการปลูกพืชร่วมยางพืชแซมยาง ขุดสระ
เลี้ยงปลา ไก่ หมูหลุม ในการขุดสระนั้น กยท.จะต้องไม่ตัดเงินสงเคราะห์ในพื้นที่ขุดสระ
▶ ส่งเสริมให้ทำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเพิ่มมูลค่ายาง
และให้คนกรีดยางมีงานทำอีกด้วย
▶ โรงรมยาง โรงอัดยาง โกดังยาง ไม่ควรทิ้งขว้างปล่อยให้รกร้าง
ควรมอบให้สถาบันเกษตรกรในพื้นที่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เพื่อมิให้ศูนย์เสียงบประมาณแผ่นดินไป
▶ ในช่วงที่ราคายางตกต่ำ เป็นกรณีเร่งด่วน ควรสั่งให้ กยท.
ลดอัตราจัดเก็บเงิน Cress เป็นการชั่วคราว
จาก 2 บาท/กก. เป็น 1.40 บาท/กก.
(เท่ากับมาเลเซีย) เพื่อให้ลดการหนีภาษีน้อยลง
และเป็นข่าวที่จะทำให้ตลาดล่วงหน้าต้องระมัดระวังการซื้อขาย
▶ การที่รัฐบาลสนับสนุนให้หน่วยราชการใช้ยาง เช่น สนามฟุตซอล สนามเด็กเล่น
กรวยจราจรยาง บังเกอร์ยาง หมอนที่นอนยาง ฯลฯ และในการที่ใช้ยางพารา ฯลฯ และในการที่ใช้ยางพาราผสมยางมะตอย เพื่อให้ถนนคงทนแต่กระทรวงคมนาคม
ยังดำเนินการอย่างไม่เป็นรูปธรรม ถ้าประกาศใช้ทั้งประเทศ
ราคายางจะกระเตื้องขึ้นทันที
▶ ควรสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศให้ตรงกันทุกพื้นที่เป็นตัวเลขเดียวกันหมดทั่วประเทศเพื่อสะดวกต่อการทำงาน
ปัจจุบันตัวเลขไม่ตรงกันถึง 4 หน่วยงาน
- advertisment -
▶ ในการกำหนดต้นทุนการผลิตยางแตกต่างกันควรมอบหมายให้
สศก. รับผิดชอบ ตัวเลข ให้คิดจากฐานเดียวกัน และใช้เป็นตัวเลขเดียวกันทั้งประเทศ เพราะปัจจุบันเกษตรกรสับสนมากและแต่ละหน่วยรายงานไม่ตรงกัน
▶ ในการที่ผู้ขายยางต่างประเทศบางคนได้เสนอขายราคายางต่ำกว่าต้นทุนการผลิตภายในประเทศ
สมควรที่จะใช้ พรบ. ควบคุมยาง พ.ศ.2542 แก้ปัญหาในการออกกฎหมายลูกเพื่อแก้ปัญหาในการเสนอขายที่ตัดราคากัน
แต่สร้างความเดือดร้อนแก่เกษตร
▶ บริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ
(IRCO) ควรจะต้องดำเนินการตามข้อตกลงใน
บาหลีเรคกูเลชั่น ที่ร่วมมือกัน 3 ประเทศให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
▶ เนื่องจากราคายางขึ้นอยู่กับตลาดล่วงหน้า
ที่มีการซื้อการขายเกินความจริง จึงทำให้ราคายางผันผวนอยู่ตลอดเวลา กระทบต่อต้นน้ำ (เกษตรกร) กลาง (ผู้ประกอบการยาง)
ปลายน้ำ (อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ตลาดยาง) มีปัญหาแทบทุกปี ทาง กยท. ได้ทำยุทธศาสตร์
20 ปี ใช้เงินไปเกือบ 10 ล้าน แต่ไม่ตอบโจทย์
ดังนั้นขอให้ นายกรัฐมนตรี จะต้องสรรหาใช้คนเก่งคนดีที่รอบรู้เรื่องยางมาปฏิรูป
เพราะยางพาราทำรายได้ให้ประเทศเป็นอันดับหนึ่งของสินค้าเกษตรกร
แต่ระบบโครงสร้างไม่เอื้อกัน ซึ่งจะทำให้เกษตรกร และพ่อค้าผู้ประกอบการเกิดความเสียหายกลายเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขซ้ำซาก
ทุกปีจะต้องมาแก้กันทุกปี โดยไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย ซึ่งหากรัฐบาลมีความพร้อมทุกด้าน
ควรที่จะต้องเร่งรัดให้เกิดการปฏิรูปทั้งระบบ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
เพื่อความมั่นคงในอาชีพยางพาราและประเทศชาติ
- Advertisement -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น