กยท. ปัดข่าว ดึงซีพี – เบียร์ช้าง ลงทุนซื้อขายยาง พร้อมแถลงแนวทางการแก้ไขปัญหายาง เน้นสนับสนุนความเข้มแข็งสถาบันเกษตรกร
กยท.ชี้แจงประเด็นข่าว
เรื่อง “ดึงซีพี-ไทพเบฟ ร่วมค้ายาง กยท. ดอดเจรจาลังหลังปิดดีล บริษัทร่วมทุน 5
เสือ” ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (26 เมษายน 2561) ในเนื้อข่าวบอกว่า
ผู้บริหาร กยท.ได้พบปะกับที่ปรึกษาเครือบริษัท ซีพี และ บริษัทเทอราโกร
ในเครือเบียร์ช้าง เพื่อร่วมลงทุนซื้อขายยางพารา โดยทาง
กยท.ชี้แจงว่าตามเนื้อข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงตามที่นำเสนอ
ด้านการแก้ปัญหาราคายางพารา
นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย แถลง
วิธีการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา เป็นเพียงการยกระดับราคาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะติดหล่ม
“กับดักทางความคิด” เพราะนอกจากการแก้ปัญหาเรื่องราคายางแล้ว
การส่งเสริมสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเข้มแข็งเป็นเรื่องสำคัญ
โดยการผลักดันให้เกิดการพัฒนาตนเองจากการทำอุตสาหกรรมเกษตรต้นน้ำ(Upstream) สู่การแปรรูปผลผลิตยางพาราเป็นอุตสาหกรรมเกษตรกลางน้ำ(Midstream)
ด้วยการแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางคอมปาวด์ และน้ำยางข้น
เกิดเป็นการเพิ่มมูลค่าที่ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
- Advertisement -
โดย
กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เร่งผลักดันและสนับสนุนเกษตรกร โดยการจัดหาปัจจัยในด้านการผลิตและแปรรูป ได้แก่
เงินลงทุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อให้เกษตรกรและสภาบันเกษตรกรชาวสวนยางนำไปจัดหาเครื่องจักรกล
นวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง
ผ่านการฝึกอบรมเพื่อสร้างทักษะความชำนาญ การบริหารจัดการด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องให้กับสถาบันเกษตรกร
ในขณะเดียวกัน
กยท. ได้วางแนวทางในการดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมค้า (Joint Trading Company) ร่วมกับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง
โดยรวบรวมยางพารา (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางคอมปาวด์และน้ำยางข้น ฯลฯ)
จากสถาบันเกษตรกรฯ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง
ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อสถาบันเกษตรกรฯ มีความพร้อมมากขึ้น ทั้งด้านเงินทุน ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการบริหารจัดการโรงงานในด้านต่างๆ ก็จะสามารถต่อยอดสู่อุตสาหกรรมยางปลายน้ำ(Downstream) โดย กยท. จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาแปรรูปยางเป็นผลิตภัณฑ์ยางในระดับอุตสาหกรรมให้แก่สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เช่น หมอน/ที่นอนยางพารา ถุงมือ/ถุงเท้ายาง ของใช้ในครัวเรือน เครื่องมือการแพทย์ ยางล้อรถยนต์ ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ในความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลกถึง 7-8 พันล้านคน
ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ผลิตและส่งออกน้ำยาง โดยมีปริมาณประมาณ 1.2 แสนตันต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ยางที่แปรรูปจะมีมูลค่าสูงกว่ายางพาราที่เป็นวัตถุดิบ และยางพาราที่แปรรูปในเบื้องต้นหลายสิบหลายร้อยเท่า
เมื่อยางพาราที่เป็นวัตถุดิบถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มมากขึ้น
ยางดิบในท้องตลาดก็จะมีปริมาณลดลง รวมถึงมีการส่งออกในลักษณะยางดิบน้อยลง
ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางพาราในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นและมีการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น
ชาวสวนยางก็จะมั่งคั่งร่ำรวย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อุตสาหกรรมยาง/ผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นๆ ของประเทศก็จะเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจของประเทศก็จะเติบโตอย่างมั่นคง
- Advertisement -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น