น้ำตาชาวใต้จะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว ชาวสวนปาล์มหมดทางออกแล้วจริงหรือ.? บทความโดย ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล
ราคาผลปาล์มที่ตกต่ำต่อเนื่องมาเกือบ
3 ปี เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมัน
เพราะในขณะที่มีวลีสวยหรูว่า “จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเป็นระบบ”
มีการคลอดยุทธศาสตร์ปฏิรูปปาล์มฯ วางแผนระยะยาวตั้งแต่ปี 2560 - 2579 มีแผนออกกฎหมายปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มมารองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นเอกภาพ
แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีอะไรในกอไผ่แล้ว
ตัวกฎหมายก็ยังถูกนำไปเล่นแร่แปรธาตุจนไม่เหลือเนื้อหาที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มได้อย่างที่วาดหวังไว้
ในขณะที่เกษตรกรต้องทนทุกข์กับราคาที่
“ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” จากราคาผลปาล์มหน้าโรงงานที่เคยสูงถึง 7 บาท/กก. เมื่อ 2 ปีก่อน มีแววราคาจะเหลือที่หน้าลานไม่ถึง
2.50 บาทในเร็ววันนี้ ถือว่าต่ำสุดในรอบ 20 ปี (ต้นทุนเกษตรกร กก.ละ 3.7 บาท) รายได้เกษตรกรวันนี้หายไปเกือบร้อยละ 65 หรือเหลือเพียงร้อยละ 35 (คิดง่ายง่ายว่าเงินเดือนจาก
10,000บาท เหลือเพียง 3,500บาท)
ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามีความชัดเจนว่าแนวโน้มราคาจะลดต่ำลง
และรัฐบาลก็รับรู้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่ทำได้ยาก
เนื่องจากอินเดียปรับเพิ่มภาษีจาก 15% เป็น 44% หรือข่าวว่ายุโรปจะปรับลดสัดส่วนของพลังงานทดแทนทำให้ตลาดน้ำมันปาล์มโลกสะเทือน
ถึงแม้ประเทศไทยจะมีสัดส่วนในตลาดการส่งออกน้ำมันปาล์มโลกเพียง
3% แต่เป็นที่รับรู้ได้ล่วงหน้าว่าประเทศไทยจำเป็นต้องกระโจนเข้าสู่ตลาดปาล์มโลกตั้งแต่บัดนี้
เพราะตัวเลขประมาณการผลผลิตของไทย คือ ปีละ 2.2 ล้านตัน
ขณะที่การใช้ในประเทศ ทั้งการบริโภคและพลังงาน มีประมาณ 1.6 ล้านตัน ยังล้นความต้องการในประเทศอยู่อย่างน้อย
400,000ตัน/ปีและจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก
และผลจากนโยบายล้มยางปลูกปาล์ม
ทั้ง ๆ ที่หลายเรื่องอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที
แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ ส่วนที่ทำก็เป็นเพียงคำพูดที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ
ไล่เรียงให้เห็นเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. ปี 2561 เกิดปัญหาปาล์มน้ำมันล้นสต็อก รัฐอ้างว่าขณะนี้มีผลผลิตมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง
1 ล้านตัน คือจาก 14 ล้านตัน เพิ่มเป็น
15 ล้านตัน และมีสต็อกค้างอยู่จากปี 2560 ราว 400,000 ตัน วิธีการแก้ไขที่เกษตรกรเสนอแต่รัฐบาลไม่เคยดำเนินการคือ
▶ กระทรวงพาณิชย์เร่งเจรจาส่งออก จ่ายส่วนต่างเพื่อการส่งออก
200,000 ตันให้ได้ใน 3 เดือน
(ให้ราคาน้ำมันปาล์มจากไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก)
▶ กระทรวงพาณิชย์ประกาศไม่นำเข้าน้ำมันปาล์มไปอีก 2 ปี
▶ พิจารณาผลกระทบจากน้ำมันถั่วเหลืองที่ทดแทนปาล์มและเริ่มใช้กำแพงภาษีในการ
นำเข้าถั่วเหลืองและจำกัดโควตา
แทนที่จะให้สิทธิพิเศษนำเข้าถั่วเหลืองโดยไม่เสียภาษีเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จะช่วยเพิ่มความต้องการปาล์มน้ำมันในตลาดมากขึ้น
▶ กระทรวงพลังงานเร่งศึกษาเปลี่ยนโรงงานไฟฟ้ากระบี่ปัจจุบันที่ใช้น้ำมันเตา
เปลี่ยนเป็น B100 คือแปลงโรงงานไฟฟ้ากระบี่จากน้ำมันเตา 70%
น้ำมันปาล์ม 30% เป็น B100 ใช้น้ำมันปาล์มผลิตไฟฟ้าให้ได้เดือนละ 20,000 ตัน
เพื่อปรับลดสต็อกน้ำมันในประเทศ
3. การปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ต้องกระทำอย่างเคร่งครัด ทั้งน้ำมันปาล์มที่ลักลอบนำเข้า หรือน้ำมันปาล์มที่ผ่านแดนจากไทยไปพม่าและลาว
เพราะล้วนเป็นการแข่งขันแย่งตลาดน้ำมันปาล์มไทย
4. การลดผลผลิตไม่มีการสนับสนุนทางเลือกอื่นให้กับเกษตรกร
เช่น การพิจารณาชะลอการปลูกปาล์มแทนยางพารา
ควรพิจารณานโยบายที่้เปิดกว้างและก้าวหน้าของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อหาทางให้ประชาชนปลูกพืชทางเลือกอื่นแนวผสมผสาน
5. นโยบายปาล์มคุณภาพรัฐบาลยังเข้าใจผิดว่า
เกษตรกรยังไม่สามารถปลูกปาล์มคุณภาพได้ ทั้ง ๆ
ที่เกษตรกรสามารถผลิตปาล์มคุณภาพที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ 20.18% มานานแล้ว ไม่ใช่ 17-18% ตามตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์
แต่ที่เกษตรกรต้องตัดขายในขณะที่เปอร์เซ็นต์น้ำมันอยู่ที่ 17% เป็นเพราะโรงงานรับซื้อในเปอร์เซ็นต์เท่านี้
แม้จะมีผลผลิตที่ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันมากกว่าก็ขายได้ในราคาเดียวกัน
แนวทางแก้ไขคือรัฐบาลต้องควบคุมให้โรงงานรับซื้อผลปาล์มคุณภาพที่
20% เท่านั้น
ซึ่งจะทำให้โรงงานจ่ายเพิ่มราว 90 สตางค์/กก.
แต่จะได้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งเป็นผลดีทั้งกับโรงงานที่ชั่วโมงผลิตที่เสถียรขึ้น
หีบน้ำมันได้มากขึ้นและเกษตรกรที่ได้รายได้มากขึ้น
ในปี 2561 นี้ถ้ารัฐบาลส่งออกและใช้สต็อกส่วนเกินเพิ่มได้จากระบบประมาณ
1 ล้านตัน (400,000 ตัน ในต้นปี 2560 และประมาณ
600,000 ตันของ ปี 2562นี้) ระบบจะเข้าสู่ดุลยภาพทันที
เรื่องนี้ไม่ง่ายแต่ต้องทำทันที
เพราะการส่งออก การบริโภคและอุปโภคน้ำมันปาล์มต้องใช้เวลา ปรับตามผลผลิตที่จะล้นออกมาเรื่อยๆ
จะทำเพียงแค่คิดแต่ไม่ทำอะไรเหมือนเกือบ
3 ปีที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว เพราะหากช้ากว่านี้เพียงหนึ่งอึดใจ
ทุกข์จะถาโถมชาวใต้อย่างล้นพ้น น้ำตาคนใต้จะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว
อย่ารอให้ถึงวันนั้น โปรดเร่งทำสิ่งนี้ทันที
เพราะทุกข์ของชาวบ้านที่ไม่ได้รับการแก้ไข
คือบทสะท้อนและตอกย้ำถึงความล้มเหลวของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ไร้น้ำยา..
เรื่องโดย : ดร.พิมพ์รพี พันธ์วิชาติกุล
- Advertisement -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น