ผลิตไฟฟ้า และกำหนดโครงสร้างราคา แนวทางแก้ปัญหาราคาปาล์มไทย ll อธิราษฎร์ ดำดี
เว็บไซต์ยางปาล์ม สัมภาษณ์พิเศษ อธิราฎร์
ดำดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มคนหนึ่งของไทย ประเด็นเรื่องมาตรการ
Zero Palm Oil ของกลุ่มประเทศยุโรป
(อ่าน อธิราษฎร์ ดำดี วิเคราะห์ มาตรการ Zero Plam Oil ของกลุ่มประเทศยุโรปและผลกระทบต่อไทย)
นอกจากนั้นยังได้สัมภาษณ์เรื่องการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันของไทย
ควรจะแก้ไขในทิศทางใด
“
ในขณะที่ค่าครองชีพก็สูงขึ้น ค่าเชื้อเพลิง ค่าน้ำมันดีเซลก็สูงขึ้น แต่กลับไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงพลังงานทางเลือกที่ช่วยลดค่าครองชีพเขาได้ ผมมองว่า “รัฐบาลใจดำ”
”
คนที่ติดตามจากข่าวอาจจะมองว่าน้ำมันปาล์มกำลังอยู่ในช่วงขาลง
จากข่าวมาตรการ Zero Palm Oil นำไปผูกกับเรื่องราคาปาล์มที่กำลังต่ำ
ถ้าประเทศไทยจะแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ควรทำอย่างไร...?
ผมดูสถิติแล้วประเทศไทยไม่มีสถิติที่จะส่งออกน้ำมันปาล์มไปทางยุโรปเลย
แล้วเราเคยมีแผนสำรอง อย่างแผนเรื่องไบโอดีเซลก็เป็นหนึ่งในแผนหลัก ถ้าวันนี้เราใช้
B10 ประมาณ 1.5-1.6
ล้านตัน มันก็หมด แล้วก็บริโภคพอในประเทศอีก 1-1.2 ล้านตัน น้ำมันที่มีอยู่ในประเทศทั้งหมด
2 ล้านกว่าตัน/ปี มันก็จะเหลือสต็อกนิดเดียว แต่เป็นเพราะเรายังใช้ไบโอดีเซล B7 น้ำมันในสต็อกจึงล้น
ผมมองว่าการบริหารจัดการภายในประเทศเป็นวิธีการง่ายที่สุดที่สามารถแก้ได้
แก้ได้ก่อนแล้วค่อยขยับไปทำอย่างอื่น คนไทยอาจจะไม่เก่งเรื่องตลาดสากล แต่ก็ต้องค่อยๆ
พัฒนากันไปเพื่อออกไปต่อสู้ในตลาดโลกให้ได้
วันนี้ปาล์มที่ถูกปลูกเพิ่มขึ้นมา
เป็นไปตามแผนเพื่อป้อนไบโอดีเซล เมื่อเราไปหยุดไว้แค่ B7 มันก็เลยทำให้มีปัญหาทั้งระบบ
มันก็จะย้อนกลับไป “กินตัวเอง”
อย่าง B20 อาจจะเปิดเป็นบางสถานีบริการ
แต่ต้องมีให้มากกว่านี้ เพราะว่ามีการทดสอบ B20 ของกระทรวงพลังงานตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้ว
ซึ่งมีผลทดสอบที่น่าพอใจ แต่เมื่อมีสถานีเปิดให้บริการจำนวนน้อย แล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้
B20 เป็นพลังงานทางเลือกสำหรับประชาชนทั่วไป
ในขณะที่ค่าครองชีพก็สูงขึ้น ค่าเชื้อเพลิง ค่าน้ำมันดีเซลก็สูงขึ้น
แต่กลับไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงพลังงานทางเลือกที่ช่วยลดค่าครองชีพเขาได้ ผมมองว่า “รัฐบาลใจดำ”
สำหรับคนที่มีปาล์มอยู่แล้วผมคิดว่าถ้าหากทุกภาคส่วนร่วมกันทำงาน
ร่วมกันบูรณาการจริงๆ เพราะวิธีการปฏิบัติต่างๆ
มันต้องอยู่ในระบบของผู้ที่เข้าใจปัญหาและมีส่วนได้ส่วนเสีย อย่าง
ปาล์มคุณภาพช่วยยกระดับราคาขึ้นไปได้
ถึงราคาไม่ดีแต่อย่างน้อยช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรสามารถดูแลผลผลิตต่อไปได้
ถ้าระบบคุณภาพจะเกิดขึ้นมาได้
หมายความว่า สวน ลานเท และโรงงานจะต้องทำงานร่วมกัน ราชการเป็นแค่เพียงคนกลาง
หลักเกณฑ์ต่างๆ ถ้าจะไปกำหนดโดยไม่เข้าใจมันก็จะใช้ไม่ได้ เดี๋ยวก็จะล้มเหลวอีก แต่ถ้าเอาคน
3 ฝ่ายที่ผลิตด้วยกัน คนหนึ่งผลิตปาล์ม คนหนึ่งรวบรวมปาล์ม
อีกคนหนึ่งเอาปาล์มไปผลิตน้ำมัน 3 ฝ่ายมาคุยร่วมกัน
แล้วหน้าที่ของภาคราชการก็คือดูแลให้ระบบมันเกิดความสมดุล
ไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ไม่ให้มีการฉ้อฉล ทุจริตต่างๆ
หรือไม่ให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในตลาด
วันนี้น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 18 บาท
น้ำมันปาล์มขวดควรจะอยู่ที่ 30 บาท หรือน้ำมันไบโอดีเซลควรจะอยู่ที่ 25 บาท
ก็แค่ดูแลตรงนี้ไป นั่นคือหน้าที่ของรัฐ แต่ถ้ารัฐคิดว่าจะลงมาเป็นผู้เล่นเสียเอง
ลงมาใช้เงินเสียเองเพื่อเอาเงินของรัฐมาจ่ายให้ตรงนั้นตรงนี้
อย่างนี้เป็นวิธีการเล่นที่ผิด มันผิดไปจากระบบเศรษฐกิจเดิม ไม่ได้อาศัยกลไกทางการตลาดทำงาน
รัฐควรจะมีหน้าที่เพียงเพื่ออำนวยให้กลไกการตลาดอยู่ในสภาพคล่องเท่านั้น
ผมคิดว่าถ้าระบบคุณภาพดีขึ้น
ระบบกลไกต่างๆ เริ่มขยับ ปาล์มน้ำมันก็ยังคงเป็นอาชีพที่ยังทนต่อเศรษฐกิจอยู่ได้
แต่ถ้ายังปล่อยให้ล้มเหลวอยู่อย่างนี้
ปาล์มน้ำมันตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไม่ได้แล้ว
“
โรงไฟฟ้ากระบี่ให้คำตอบว่าพร้อมที่จะผลิตอยู่ตลอดเวลา รอแต่ “เบื้องบน” เป็นคนสั่งการ ใช่ว่าจะต้องไปเริ่มทำอะไรใหม่ รถน้ำมันปาล์มวิ่งเข้าไปวันนี้สตาร์ทเครื่อง 18 ชั่วโมงก็จ่ายไฟเข้าระบบได้ทันที
”
ประเด็นเรื่องการนำน้ำมันปาล์มไปใช้ผลิตไฟฟ้า
พี่อธิราษฎร์มองอย่างไร ในเรื่องของต้นทุนและความคุ้มค่า...?
เรื่องนี้อย่าเอาวิศวกร
อย่าเอานักคณิตศาสตร์มาคิด ต้องเอานักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมมาคิดครับ
เราอาจจะมองว่าต้นทุนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับถ่านหิน
เพราะรัฐมีเป้าหมายที่จะทำโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ ต้นทุนอยู่ที่ 4-5 บาท/กก.
ความจริงแล้วกระบี่มีโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิตเครื่องเพียงแค่ 100 MW ขณะที่ทั้งประเทศมีจำนวน 30,000 MW ผมคิดว่าสัดส่วนของค่า FT ที่จะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1 สตางค์ มันอาจจะอยู่ที่ ¼ สตางค์ด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่ภาระที่ยิ่งใหญ่
ความจริงแล้วกระบี่มีโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิตเครื่องเพียงแค่ 100 MW ขณะที่ทั้งประเทศมีจำนวน 30,000 MW ผมคิดว่าสัดส่วนของค่า FT ที่จะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1 สตางค์ มันอาจจะอยู่ที่ ¼ สตางค์ด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่ภาระที่ยิ่งใหญ่
แต่การใช้น้ำมันปาล์มผลิตไฟฟ้ามันเป็นเรื่องของ “กุศโลบาย” มันเป็นเรื่องของ CHR ยกตัวอย่างของอดีตที่ผ่านมาเมื่อปี
2558 ตอนนั้นราคาปาล์มเริ่มต่ำกว่า 4 บาท การไฟฟ้าเปิดประมูลน้ำมันเดือนละ 5,000
ตัน ประมูลอยู่ 3 เดือน ได้น้ำมันตั้งแต่ 22 บาทกว่าขึ้นไป
จนกระทั่งทำให้น้ำมันในตลาดขึ้นไปถึง 28 บาท ปาล์มผลสดจากที่ราคาแตะ 3 บาท
ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4.80 บาท แล้วตลาดมันก็เริ่มเคลื่อนไหว
แล้วการไฟฟ้าก็หยุดซื้อเพราะเห็นว่ากลไกตลาดอยู่ในภาวะปกติ ไม่ใช่ไม่เคยทำ
เคยทำครับแล้ว
การไฟฟ้าอาจจะไปตั้งธงว่าใช้ปีละ
100,000 ตัน ใช้เงินไปกี่พันล้านบาทไม่คุ้มค่า แต่จริงๆ แล้ว การเข้ามาเป็นผู้เล่นในลักษณะ “ผู้เล่นสำรอง” แต่เป็นผู้เล่นที่คอยเปลี่ยนเกมในตลาดทำให้ตลาดมันเริ่มเคลื่อนไหว โรงไฟฟ้ากระบี่เราใช้คำว่าเป็น “ฟองน้ำ” ที่คอยดูดซับน้ำมันที่ล้นสต็อก ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นตัวหลัก
ลองวันนี้รัฐประกาศว่า
จะเปิดประมูลน้ำมันดิบเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้ากระบี่เดือนละ 10,000 ตัน
ราคาในตลาดก็จะเริ่มขยับทันที แล้วทำแผนไว้เลยปีละ 100,000 ตัน แต่จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ดูสถานการณ์ตลาด
วันนี้ราคาน้ำมันเตาราคา 20-21 บาท แต่ปล่อยให้ราคาน้ำมันปาล์มในเมืองไทยอยู่ที่
16-17 บาทได้ยังงัย แล้วก็ยังบอกว่าต้นทุนแพงกว่า
เพราะฉะนั้นงานนี้อย่าเอาวิศวกรมานั่งคิด คนเป็นรัฐมนตรี
คนเป็นผู้บริหารจะต้องคิดในบริบทของเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ คิดในเชิงสังคมด้วย
แล้วโรงไฟฟ้ากระบี่เป็นเจตนารมณ์ของคนกระบี่
ที่เรียกร้องแล้วก็ดำเนินการจนกระทั่งสำเร็จ พร้อมที่จะทำงานอยู่ตลอดเวลา โรงไฟฟ้ากระบี่ก็ให้คำตอบว่าพร้อมที่จะผลิตอยู่ตลอดเวลา
รอแต่ “เบื้องบน” เป็นคนสั่งการ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปเริ่มทำอะไรใหม่
เครื่องมือติดตั้งทุกอย่างเรียบร้อย ถังน้ำมันขนาด 1,500 ตัน มีอยู่พร้อม รถน้ำมันปาล์มวิ่งเข้าไปวันนี้ผลิตวันนี้ได้ทันที
สตาร์ทเครื่อง 18 ชั่วโมงก็จ่ายไฟเข้าระบบได้ทันที
หลายปีก่อนบอกว่าไฟฟ้าไม่พอ วันนี้กลับบอกว่าถ้าเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากระบี่เดี๋ยวไฟจะเกิน
ปล่อยให้ตลาดตกต่ำจนกระทั่งเงียบกันทั้งเมือง เศรษฐกิจของกระบี่มีอยู่ 3
ด้าน มียางพารา ปาล์มน้ำมัน และการท่องเที่ยว
ท่องเที่ยวตอนนี้อยู่ในหน้ามรสุมอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน
ซึ่งมียางพาราและปาล์มน้ำมันที่ขับเคลื่อนอยู่ตอนนี้ เกษตรกรคนสองกลุ่มนี้เข้าไม่ถึงโอกาสด้านการท่องเที่ยวเลย
ท่องเที่ยวดียังงัยเข้าก็เข้าไม่ถึง เพราะเขาอยู่ในอีกสังคมหนึ่ง เป็นสังคมเกษตร
รัฐไม่ดูแลปล่อยให้เศรษฐกิจ 2 ขา
จากทั้งหมด 3 ขา มันหักไปได้ยังงัย
“
สาเหตุต่างๆ เกิดจากการไม่ทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อสั่งการไปแล้วก็ยังไม่ทำงานหรือยังล่าช้ากันอีก ผมเสนอว่าขอให้มีการ “ลงโทษทางวินัย” ต่อหน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนป. และของรัฐบาล
”
จากการชุมนุมของเกษตรกรเมื่อวันที่
25 ตุลาคม ที่ จ.กระบี่
มีตัวแทนภาครัฐมาขอให้เกษตรกรหยุดชุมนุมพร้อมรอฟังข่าวดีในการประชุม กนป. วันที่ 1
พ.ย.นี้ ในฐานะที่พี่อธิราษฎร์เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. คาดเดาได้มั้ยครับว่า
มาตรการที่รัฐจะช่วยอะไรบ้าง
ผมไม่เดาดีกว่า...แต่จะไปช่วยกันผลักดันให้มาตรการต่างๆ ดำเนินการทันที
เพราะว่าเท่าที่รัฐพูดถึงก็มี 3 มาตรการเดิม คือ หนึ่งชดเชยเรื่องการส่งออก
สองเรื่องเพิ่มการใช้น้ำมันไบโอดีเซลเป็น B20 เมื่อวันที่ 26
ต.ค.ก็เปิดตัวไปแล้วว่าจะใช้เพิ่มขึ้นวันละ 400 ลิตร แต่ก็ยังเป็นการทดลองใช้อยู่
ส่วนเรื่องที่สาม คือการบังคับโรงงานหีบปาล์มน้ำมันเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า
18% ซึ่งเมื่อประกาศออกมาแล้วก็ยังมีเวลาในการผ่อนปรนให้อีก
6 เดือน
มาตรการทั้ง 3 ข้อนี้
ไม่ได้มีผลทันทีต่อตลาดปาล์มน้ำมัน แต่ถ้ามาตรการโรงไฟฟ้าหรือการเพิ่มไบโอดีเซล B20 เพิ่มสถานีทันที 100 200
สถานี ไม่ใช้ทำอยู่ไม่กี่สถานี ทุกวันนี้ยังมีไม่ถึง 30 สถานีเลย
ขสมก.จะใช้เพิ่มวันละ 400 ลิตร อย่างนี้มันไม่ตอบโจทย์ บขส.ผมไม่ทราบว่าจะใช้วันละกี่ร้อยลิตร
แต่ผมดูแล้วเสียดายเงินค่าจัดอีเวนต์มากๆ เพราะมันเป็นแค่การจัดงานฉาบฉวย
ให้เป็นข่าวเพื่อลดกระแสเท่านั้นเอง
แต่ในข้อเท็จจริงผมคิดว่าผู้ประกอบการแล้วก็เกษตรกรทราบกันดีอยู่ว่ามันไม่ได้มีผลดีต่อตลาดอะไรเลย
อีกข้อหนึ่งที่ผมจะเสนอในที่ประชุม
กนป. ว่าสาเหตุต่างๆ เกิดจากการไม่ทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อสั่งการไปแล้วก็ยังไม่ทำงานหรือยังล่าช้ากันอีก ผมจะเสนอว่าขอให้มีการ “ลงโทษทางวินัย”
ต่อหน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนป. และของรัฐบาล เพราะ
กนป.เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ดูแลเรื่องปาล์มน้ำมัน
เป็นองค์สูงสุดทางด้านปาล์มน้ำมัน เมื่อมีมาตรการออกมา เมื่อมีคำสั่งออกมา
หน่วยงานราชการที่รับงานต่อมาต้องทำงาน
แต่เราพบว่า 5
เดือนครึ่งแล้วไม่มีความเคลื่อนไหวทางด้านใดๆ เลย ปล่อยให้สถานการณ์แย่ลงๆ
ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ควรมีการพิจารณาเรื่องการลงโทษด้วย ไม่เช่นนั้นทุกคนก็จะ “ลอยตัว”
อยู่เหมือนเดิม
มาตรการหนึ่งที่อยู่ในข้อเสนอของเกษตรกร
คือกำหนดราคาขั้นต่ำ 4.50 บาท/กก.หรือไม่ให้ต่ำกว่าต้นทุน จะได้รับการตอบสนองหรือไม่...?
ถ้าทางภาครัฐติดตามความคิดเห็นของกลุ่มพี่น้องชาวสวนปาล์มก็จะรู้ว่าความเดือดร้อนขยายวงไปทั่วจริงๆ
ผมว่าก็ควรจะมีการพิจารณาในเรื่องของราคาขั้นต่ำ
เพราะว่าผลปาล์มน้ำมันถูกประกาศให้เป็นสินค้าควบคุม หมายถึงผลปาล์มน้ำมันทะลายสด
เป็นสินค้าควบคุมลำดับที่ 14 ประกาศเมื่อปี 2556 เพราะฉะนั้นมันก็ต้องอยู่ภายใต้
พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ ที่จะต้องดูแลไม่ให้มีความปั่นป่วนเกิดขึ้น
ไม่ให้ต่ำกว่าทุน ไม่ให้มีใครเอากำไรเกินควร
“
รัฐบาลไม่ต้องเป็นคนที่เอาเงินมาซื้อปาล์ม นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาซื้อปาล์มจากเกษตรกร เพียงแค่กระตุ้นให้มันเกิดการทำงาน ให้กำลังซื้อมันมาจากตลาด
”
ถ้าสมมุติราคาต้นทุนปาล์มน้ำมันอยู่ที่
3.50 บาท รัฐประกาศได้วันนี้เลยมั้ย ว่า ราคาผลราคาซื้อขั้นต่ำได้เลย
โดยรัฐไม่ต้องใช้เงินอุดหนุน...?
ผมมีความเห็นที่แตกต่างอยู่ คือ
ผมมองว่าราคาควรเป็นราคาที่มาจากตลาด รัฐบาลไม่ต้องเป็นคนเงินมาซื้อปาล์ม
นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาซื้อปาล์มจากเกษตรกร เพียงแค่กระตุ้นให้มันเกิดการทำงาน ให้กำลังซื้อมันมาจากตลาด
ถ้าหากวัตถุดิบไม่ล้นตลาดมันมีช่องทางไป จะบอกว่ามาตรการส่งออก มาตรการ B20 และมาตรการหีบปาล์มให้ได้ 18%
มันทำเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้น ราคาสูงขึ้น
หรือมีการเอาไปใช้ในโรงไฟฟ้า พอน้ำมันมันเริ่มไหลได้มันไม่ล้นสต็อก
ราคาในตลาดมันก็จะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นๆ
เมื่อปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับที่เกษตรกรรับได้ ราคาไม่ต่ำกว่าต้นทุน
พอจะมีรายได้ที่จะกลับไปดูแลสวนได้ตามปกติ ผมคิดว่าเกษตรกรจะพอใจ
แต่ราคามันคงจะกระชากขึ้นทันทีไม่ได้
เพราะมันจะกระทบต่อตลาดมาก ราคาน้ำมันปาล์มดิบในเมืองไทย
ผมมองว่าไม่จำเป็นต้องเทียบกับตลาดโลกหรือตลาดมาเลเซีย มันอาจจะสูงกว่าสัก 1-2 บาท
มันก็เป็นกำแพงพอที่จะทำให้ไม่เกิดการนำเข้า ถ้าราคาต่างกันแต่ 2-3
บาทการนำเข้าก็เป็นไปได้ยาก แล้วก็จัดระบบภายในขึ้นมาให้เกิดการหมุนเวียน
ตลาดเกิดการเคลื่อนไหวเดี๋ยวราคามันจะเริ่มมา จะบวกทีละ 10-20 สตางค์ไล่ขึ้นไป
เคยมีนะครับสัปดาห์หนึ่งราคาขึ้นไป 2-3 ครั้ง ถ้ามันขึ้นไปเรื่อยๆ
ตลาดก็จะเกิดการปรับตัว แล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่ภาวะปกติได้
“
เราอาจจะติดอยู่กับเงื่อนไขของความเป็นไทย แล้วก็การละเลยเรื่องของคุณภาพมาอย่างยาวนาน เราเลยมองว่าแก้ยาก จริงแล้วมันแก้ไม่ยาก
”
ฝากความคิดเห็นเรื่อง
ระบบปาล์มคุณภาพ จำเป็นต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
ความคิดเห็นส่วนตัวผมอยากให้มีการทำ
“โครงสร้างราคาปาล์มน้ำมัน” เพราะถ้ามันไม่มีราคาที่สะท้อนคุณภาพ
ระบบคุณภาพปาล์มน้ำมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นในเมืองไทย ถ้าประกาศขึ้นมาขั้นต่ำ 18% ก็จะอยู่อย่างนี้ ขยับคุณภาพขึ้นไปไม่ได้
เรามีตัวอย่างจากมาเลเซียซึ่งเขามีปาล์มเยอะกว่าเรามาก
เขาสามารถดูแลระบบปาล์มของเขาให้นิ่งได้ เขาก็ใช้ระบบโครงสร้างราคา
มีสูตรราคาเรียบร้อย แล้วผมเองผมศึกษาเรื่องนี้ของมาเลย์ ของอินโดฯ มา
เพื่อดูว่าเขาพัฒนาโครงสร้างราคาได้อย่างไร
เขาพยายามทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี
1900 เขาใช้เวลาแค่ปีครึ่ง ตั้งแต่ปี 2000-2002 เขายกระดับจาก 18.5% ไปอยู่ที่ 20-21% แล้วนิ่งอยู่ระดับนี้ตลอด
เขาพบว่ายิ่งเขาขยายกำลังการผลิตมากจะมีผลกระทบต่อเปอร์เซ็นต์น้ำมันจะเริ่มต่ำลง
เนื่องจากการควบคุมคุณภาพ
แล้วก็มาเลเซียถ้าในแผ่นดินใหญ่เปอร์เซ็นต์จะค่อนข้างต่ำ
เพราะว่าเขาปลูกปาล์มซ้ำมา 4 รอบแล้ว เขาปลูกมา 100 ปีแล้ว
แต่ในพื้นที่ที่เป็นดินภูเขาไฟหรือป่าปลูกใหม่ได้เปอร์เซ็นต์เฉลี่ยได้ระดับ 23% สูงสุดถึง 28% ก็มี
เรื่องของคุณภาพเรื่องของเปอร์เซ็นต์น้ำมัน
มันส่งผลต่อรายได้ของภาคเกษตร และของอุตสาหกรรมโดยตรง
ยิ่งทำเปอร์เซ็นต์ได้สูงเกษตรกรก็ยิ่งได้ราคาดี
ยิ่งลดต้นทุนของเกษตรกรของโรงงานด้วย เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันปาล์มมันจะมีมูลค่าสูงขึ้นตามคุณภาพของมัน
เป็นผลตอบแทนที่ดี
แต่ว่าเราอาจจะติดอยู่กับเงื่อนไขของความเป็นไทย
แล้วก็การละเลยเรื่องของคุณภาพมาอย่างยาวนาน เราเลยมองว่าแก้ยาก
จริงแล้วมันแก้ไม่ยาก มาเลเซียพอเขามีกฎหมายรองรับเขาใช้การ “บังคับใช้กฎหมาย”
เขาใช้เวลาเพียงแค่ปีครึ่งเท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น