ตามธรรมชาติของต้นยางพาราเป็นพืชที่สามารถทนต่อน้ำท่วมขังได้พอสมควร ประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน ขึ้นอยู่กับอายุของต้นยาง ระดับน้ำและความยาวนานของน้ำที่ท่วมขัง
ต้นยางที่มีอายุน้อยจะทนต่อการท่วมขังของน้ำได้น้อยกว่าต้นยางที่โตแล้ว
เช่น ยางพาราที่มีอายุ 2-8 เดือน
สามารถทนน้ำท่วมได้ไม่เกิน 15 วัน และหากน้ำท่วมยอด
ต้นยางจะตายภายใน 7 วัน
เมื่อต้นยางถูกน้ำท่วมจะส่งผลให้ก๊าซออกซิเจนในดินต่ำลง
ทำให้พืชขาดก๊าซออกซิเจนที่นำไปใช้หายใจ อาจเกิดการเสียสมดุลของธาตุอาหารบางชนิด
เช่น ธาตุเหล็ก อะลูมินัม อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อต้นยางพาราโดยตรง สังเกตจากต้นยางจะมีลำต้นแคระแกรน
ใบเหลืองซีด บางครั้งพบปลายยอดแห้งตาย รากเน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรากฝอย หากท่วมขังเป็นเวลานานจะทำให้ต้นยางยืนต้นตายหรือต้นยางโค่นล้มเนื่องจากดินบริเวณโคนอ่อนตัว
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) แนะนำเกษตรกรสำรวจความเสียหายสภาพสวนยาง เพื่อหาแนวทางในการฟื้นฟูและจัดการสวนยางหลังจากถูกน้ำท่วม กรณีน้ำท่วมสวนยางเกินกว่า 30 วัน เกษตรกรควรเร่งระบายน้ำออกจากสวน หากน้ำบริเวณรอบสวนยางมีระดับสูงกว่า ไม่สามารถระบายออกได้ ให้ขุดร่องน้ำกึ่งกลางระหว่างแถวยาง เพื่อให้น้ำระบายไปอยู่ในร่องที่ขุดไว้ โดยใช้แรงงานคนและเครื่องจักรขนาดเล็กเท่านั้น จากนั้นรอให้น้ำแห้งและดินแข็งตัวก่อนจึงเข้าไปปฏิบัติงาน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายรากโดยเฉพาะรากฝอยที่เจริญขึ้นมาใหม่
ที่สำคัญไม่ควรใส่ปุ๋ยใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอกและปุ๋ยชีวภาพในขณะที่ดินยังไม่แห้ง
เพราะจะทำให้ธาตุไนโตรเจนที่อยู่ในรูปไนเตรท และยูเรียเปลี่ยนรูปเป็นไนไตรท์ ซึ่งเป็นพิษต่อต้นยาง
เนื่องจากต้นยางทรุดโทรมจากระบบรากที่ขาดก๊าซออกซิเจนอยู่ จะทำให้ต้นยางเสียหายมากขึ้น
ทำให้ต้นยางฟื้นตัวได้ช้าและต้นที่อ่อนแออาจจะตายได้ นอกจากนี้การใส่ ปุ๋ยอินทรีย์
และปุ๋ยคอก จะไปส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในดินซึ่งมีการหายใจมากขึ้นส่งผลให้รากยางขาดออกซิเจนเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เกษตรกรไม่ควรใส่ปุ๋ยทันที ต้องรอให้ยางฟื้นตัวและแข็งแรงเสียก่อน
โดยให้รีบใส่ปุ๋ยบำรุงทันทีในช่วงต้นฤดูฝนปีถัดไป
ขณะเดียวกัน กยท.
ยังมีความกังวลถึงโรคยางพาราที่มากับช่วงหน้าฝน โดย ดร. กฤษดา
ได้กล่าวว่าโรคในต้นยางพาราที่มักจะมาในช่วงฤดูฝนคือ โรคใบร่วงไฟทอปธอรา (Phytophthora) ซึ่งมักจะระบาดในสวนยางพารา
เนื่องจากโรคนี้แพร่ระบาดโดยน้ำฝน ลม ความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนและจำนวนวันฝนตก
รวมถึงอุณหภูมิที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อ อยู่ระหว่าง 25-28 องศา เติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น ฝนตกชุก เชื้อไฟทอปธอรานั้นจะอาศัยน้ำและความชื้นในการขยายพันธุ์
หากสภาพอากาศชื้นสูงต่อเนื่องติดกัน มีน้ำท่วมขัง หรือต้นยางรับแสงแดดน้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน พันธุ์ยางที่ปลูกอ่อนแอไม่ต้านทานโรค ก็เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดการติดโรคนี้ได้ ลักษณะอาการสามารถสังเกตอาการได้เด่นชัดที่ก้านใบ จะปรากฏรอยแผลช้ำสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ตามความยาวของก้านใบ แผลบริเวณที่เป็นทางเข้าของเชื้อมักมีหยดน้ำยางเล็กๆ เกาะติดอยู่ การเข้าทำลายที่ก้านใบนี้เอง ทำให้เกิดใบร่วงทั้งที่ใบยังมีสีเขียวสดอยู่ เมื่อนำมาสะบัดเบาๆ ใบย่อยจะหลุดออกจากก้านใบโดยง่ายต่างจากการร่วงโดยธรรมชาติ บนแผ่นใบย่อยเชื้ออาจเข้าทำลายที่ปลายใบหรือขอบใบ เกิดแผลสีน้ำตาล มีลักษณะช้ำน้ำขยายติดต่อกันเป็นแผลใหญ่ทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดงก่อนที่จะร่วง
นอกจากนี้ยังพบว่า
เชื้อนี้สามารถเข้าทำลายฝักยางได้ทุกระยะทำให้ฝักเน่า
ถ้าความชื้นในอากาศสูงจะพบเชื้อราสีขาวเจริญปกคลุมฝัก
ฝักที่ถูกทำลายจะเน่าดำค้างอยู่บนต้นไม่แตกและร่วงหล่นตามธรรมชาติ
กลายเป็นแหล่งเชื้อโรคในปีถัดมาได้
วิธีการป้องกันเชื้อไฟทอปธอราว่า เกษตรกรควรบำรุงรักษาสวนยางให้สมบูรณ์โดยใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำอย่างน้อยปีละ
2 ครั้ง คือช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน เพื่อสร้างความทนทานแข็งแรงให้ต้นยาง เกษตรกรในรายที่ปลูกพืชที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อ เช่น
ส้ม ทุเรียน พริกไทย ปาล์ม โกโก้ เป็นพืชแซมยาง ควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจนำเชื้อมาระบาดสู่ต้นยางได้
กำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้อากาศถ่ายเท ให้แสงแดดส่องได้สะดวกทั่วถึง
เพื่อลดความชื้นในสวนยาง
หากเกษตรกรชาวสวนยางพบว่าต้นยางติดโรคให้ใช้สารเคมี metalaxyl หรือ fosetyl-aluminium อัตราส่วน 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่นใบยางอ่อนเมื่อพบการระบาดทุก ๆ 7 วัน ในต้นยางใหญ่ที่เกิดใบร่วงอย่างรุนแรงเกิน
50 % ควรหยุดกรีดยางทันที และบำรุงต้นยางให้สมบูรณ์ หรือสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่การยางแห่งประเทศไทย
ในพื้นที่ได้ในวันและเวลาทำการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น