อาการเปลือกแห้งของต้นยาง คือ การที่ต้นยางแสดงอาการผิดปกติ โดยหลังจากกรีด อาจมีน้ำยางไหลออกมาเพียงเล็กน้อยหรือไม่ไหลเลย อาการแบบนี้ยังสามารถเกิดขึ้นกับต้นยางที่ยังไม่ได้เปิดกรีด
การเกิดอาการเปลือกแห้งนี้ไม่ได้เกิดจากสาเหตุของเชื้อโรค
จึงไม่ถ่ายทอดจากต้นสู่ต้น แต่เป็นอาการปกติทางสรีรวิทยา โดยมีสาเหตุหลักมาจากพันธุ์ยาง
ระบบกรีด การใช้สารเคมีเร่งน้ำยาง สภาพแวดล้อม รวมทั้งดินที่ปลูก
ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง หรือหลายปัจจัยร่วมกัน
ในปัจจุบันได้มีการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น
พบว่าในทุกเขตปลูกยางมีอัตราการแสดงอาการเปลือกแห้ง เฉลี่ยร้อยละ 2-27 และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นนเรื่อย
ๆ
👉 การเกิดอาการเปลือกแห้ง
1. อาการเปลือกแห้งแบบชั่วคราว
เป็นอาการที่ต้นยางให้ผลผลิตน้ำยางลดลงมาก จะ เกิดขึ้นกับต้นยางจำนวนมากในแปลงเดียวกัน
ซึ่งอาจจะเกิดจากการกรีดถี่การใช้สารเคมีเร่งน้ำยางไม่เหมาะสม หรือสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งเกินไป
เมื่อพักการกรีดระยะหนึ่ง มีการบำรุงรักษา ต้นยางและมีฝนตกตามฤดูกาลอาการผิดปกตินี้ก็จะหายไป
2. อาการเปลือกแห้งแบบถาวร
เป็นอาการที่ต้นยางให้ผลผลิตน้ำยางน้อยมากหรือไม่ ให้ผลผลิตเลย พบในบางต้นเท่านั้น
อาจเป็นต้นเดียวหรือหลายต้นติดต่อกัน ซึ่งพบได้ใน 2 ลักษณะ
คือ
- เกิดขึ้นบริเวณใต้รอยกรีดลุกลามลงไปถึงบริเวณเท้าช้าง ลักษณะนี้พบมากในเขตปลูกยางเดิม
- เกิดจากบริเวณเท้าช้างลุกลามขึ้นไปด้านบน ลักษณะนี้พบมากในเขตแห้งแล้ง
มีการพยายามศึกษาวิธีรักษาต้นยางที่แสดงอาการเปลือกแห้งแบบถาวร
ในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยวิธีดำเนินการค่อนข้างยุ่งยากง ค่าใช้จ่ายสูงแต่ให้ผลระยะหนึ่งเท่านั้น
อาการเปลือกแห้งก็เกิดขึ้นอีก จึงเน้นที่การป้องกันจะได้ผลกว่า
👉 การป้องกันการเกิดอาการเปลือกแห้ง
- 1. เมื่อสังเกตพบความผิดปกติในการให้น้ำยางของต้นยาง เช่น น้ำยางหยุดไหลเป็น ระยะบนหน้ากรีด ควรหยุดกรีดสักระยะหนึ่ง หรือปรับระบบกรีดใหม่ เพื่อให้ต้นยางมีระยะเวลาเพียงพอสำหรับการสร้างน้ำยางขึ้นมาทดแทน
- 2. ดินปลูกยางพาราที่มีอินทรียวัตถุต่ำ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ควรปลูกพืชคลุมดินตระกูลถั่ว หรือใช้ปุ๋ยอินทรียทรีย์ทั้งในรูปปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยในการปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น
- 3. ไม่ควรเปิดกรีดต้นยางที่ขนาดเล็ก หรือใช้ระบบกรีดถี่กับสวนยางที่อยู่ในเขตที่มี ปริมาณน้ำฝนจำกัด และควรหยุดกรีดยางในระยะที่ต้นยางมีการผลิใบใหม่
- 4. สวนยางที่ใช้สารเคมีเร่งน้ำยางควรเป็นต้นยางที่เจริญเติบโตดี ต้นโต เปลือกหนา และระบบกรีดที่มีวันหยุด ไม่ควรใช้สารเคมีเร่งน้ำยางกับพันธุ์ยางที่มีการตอบสนอง ต่อสารเคมีเร่งน้ำยางน้อย ได้แก่ พันธุ์ BPM 24, พันธุ์ PB 235, พันธุ์ PB 255, พันธุ์PB 260, พันธุ์สถาบันวิจัยยาง 250 และพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 251
ควรเปิดกรีดยางต้นที่ได้ขนาดและเหมาะสม |
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเร่งน้ำยางในช่วงแล้งช่วงที่ต้นยางผลัดใบ และผลิใบใหม่ ช่วงอากาศหนาว ซึ่งน้ำยางจะไหลนานกว่าปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่มา : การปลูกสร้างสวนยางที่มาประสิทธิภาพ การยางแห่งประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น