กยท. เล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่ในการกำกับดูแล
ขนาดพื้นที่ 38,520 ไร่
ที่ตั้งอยู่ในขอบเขตการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC สร้างโอกาสการพัฒนาพื้นที่ศักยภาพ รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารา
ไปพร้อมกับการสร้างประโยชน์แก่ชาวเกษตรสวนยาง
คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนบนและตอนกลาง
และจังหวัดนครศรีธรรมราช จากการลงทุนพัฒนาโครงการมูลค่าประมาณ 8.9 หมื่นล้านบาท
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
(กยท.) เปิดเผยว่า กยท.ได้ดำเนินการศึกษาพื้นที่
จ.นครศรีธรรมราช ขนาดพื้นที่ 38,520 ไร่
ซึ่งเป็นพื้นที่ในการกำกับดูแลของ กยท. ภายใต้โครงการ “จัดตั้งพื้นที่บริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ”
หรือ SECri หรือ Southern Economic Corridor
of Rubber Innovation: SECri ตั้งอยู่ในขอบเขตการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
หรือ SEC เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราในภาคใต้ตอนบนและตอนกลางได้
แบ่งเป็นพื้นที่ 3,500 ไร่ ณ อ.ช้างกลาง โดยศึกษาโอกาสการพัฒนาพื้นที่รองรับการทำธุรกิจ
อุตสาหกรรมยางพารา พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูปยางพาราเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
การต่อยอดงานวิจัยเชิงพาณิชย์ และพื้นที่ 33,520 ไร่ ณ
อ.ช้างกลาง กรุงหยัน นาบอน ทุ่งใหญ่ ทำการศึกษาพื้นที่เพื่อส่งเสริมการเกษตรรูปแบบผสมผสาน
ต้นแบบการจัดการสวนยางยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่เป้าหมายที่มีศักยภาพให้ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม
โครงการดังกล่าว
ได้ศึกษาแนวคิดและรูปแบบ ประเภทธุรกิจยางพาราที่เหมาะสมกับระบบนิเวศของพื้นที่ อาทิ การพัฒนาการแปรรูปยางคอมปาวด์ ยางผสม
ธุรกิจแปรรูปน้ำยางข้น โรงงานผลิตถุงมือยาง ถุงยางอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์
ผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพารา เป็นต้น รวมทั้งการออกแบบผังแม่บทการพัฒนาเบื้องต้น
และผังโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคหลักในพื้นที่โครงการ รูปแบบในการลงทุนและรูปแบบการบริหารจัดการ รวมถึงการประเมินผลกระทบจากโครงการและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
ผู้ว่าการกล่าวเพิ่มเติมว่า จุดเด่นที่สำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราชคือ
ความพร้อมของระบบขนส่งถนนสายหลัก สายรอง ท่าเรือ สนามบิน และรถไฟ
เป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจ (Land Bridge) ฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
โดยตั้งหมุดหมายให้ จ. นครศรีธรรมราช เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
(SEC) ภูมิภาคนี้ รวมถึงเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบจากยางพาราอันดับต้นของประเทศ
จากผลศึกษาจะทำให้เกิดการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่และโรงงานแปรรูปขนาดกลางและขนาดใหญ่
รวมถึงการเปิดโอกาสพัฒนากลุ่ม Start
Up รุ่นใหม่ในพื้นที่จากการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
3.6 แสนล้านบาท เกิดความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้น 1.1
ล้านตัน และการส่งออกในรูปแบบผลิตภัณฑ์จากยางพารามูลค่าประมาณ 2
แสนล้านบาท และที่สำคัญจะทำให้เกิดการจ้างงานในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่า
45,000 คน
รวมถึงยกระดับรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างเข้มแข็ง
โดยผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหากมีโครงการ SECri ในอนาคต คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนบนและตอนกลาง
และจังหวัดนครศรีธรรมราช จากการลงทุนพัฒนาโครงการมูลค่าประมาณ 8.9 หมื่นล้านบาท
ในขั้นถัดไป กยท. จะดำเนินการในเรื่องของรายละเอียดต่างๆ
ของพื้นที่ โดยช่วง 15 เดือนแรก จะทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและออกแบบรายละเอียดระบบบริหารจัดการยางพาราให้สอดคล้องกับธุรกิจยางพาราและระบบนิเวศของพื้นที่
หลังจากนั้น อีก 7 ปี จะทำการก่อสร้าง
ควบคู่กับการจัดหานักลงทุน การเตรียมความพร้อม และขับเคลื่อนนวัตกรรมการสร้างมูลค่าเพิ่มอุตสาหกรรมยางพาราในภาคใต้ตอนบนและตอนกลางต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น