ยางพาราเป็นสินค้าเกษตรที่มีการส่งออกมากในลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย เป็นพืชที่มีศักยภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางพาราประมาณ 24 ล้านไร่ สวนยางพาราจึงเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีการกักเก็บคาร์บอนที่ดี
โดยลักษณะตามธรรมชาติของยางพารา
จะมีการทิ้งกิ่งขนาดเล็ก และผลัดใบทุกปี
ทำให้มีปริมาณเศษซากที่ร่วงหล่นสะสมอยู่ในดิน เกิดการเก็บกักคาร์บอนในดินจำนวนมาก
ประกอบกับมีการจัดการสวนที่ช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เอื้อต่อการเก็บกักคาร์บอนได้ดีทั้งในลำต้นและในดิน
เช่น การใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน การใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
การปลูกพืชคลุม การปลูกพืชร่วมและพืชแซม ไม่ไถพรวนดินในสวนยางระยะเปิดกรีด
จากรายงานการศึกษาวิจัย
ยางพาราที่เปิดกรีดแล้วสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิประมาณ 4-6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไร่ต่อปี
สวนยางจึงมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย
(Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER) ได้
และยางพารามีอายุยาวนาน 25-30 ปี จึงจะมีการตัดโค่นเพื่อปลูกทดแทน
ทำให้มีระยะเวลายาวนานเพียงพอสำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
อย่างไรก็ตาม
กระบวนการในการพัฒนาโครงการ T-VER
ยังมีความซับซ้อนในการจัดทำเอกสาร และมีค่าใช้จ่ายสูง
จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับเกษตรกรชาวสวนยางที่จะเข้าร่วมโครงการ T-VER เนื่องจาก ส่วนใหญ่เป็นสวนยางขนาดเล็ก
นายระพีภัทร์
จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรพร้อมที่จะเดินหน้าร่วมพัฒนาแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตยางโดยได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
กับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
เพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการ T-VER
อย่างเป็นรูปธรรม
โดยใช้พื้นที่ปลูกยางของกรมวิชาการเกษตรเป็นพื้นที่นำร่องในการศึกษากระบวนการเก็บข้อมูล
วิธีการในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตปริ้นท์ที่เหมาะสมสำหรับยางพาราที่เกษตรกรสามารถทำได้
ไม่ยุ่งยาก รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้สามารถเป็นผู้รับรองการตรวจประเมินโครงการ
และรับรองการคำนวณคาร์บอนเครดิตด้านการเกษตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่เกษตรกร
ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ยางขั้นต้นที่ประเทศไทยมีการส่งออกมาก 3 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางแผ่นรมควัน มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 0.5 – 0.7 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อตันผลิตภัณฑ์ อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการและนโยบายด้าน Green และ Climate Change ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมความพร้อม ซึ่งนอกจากด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางแล้ว ควรหันมาใส่ใจกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
นอกจากการสนับสนุนให้เกษตรกรดำเนินโครงการ T-VER เพื่อขายคาร์บอนเครดิตแล้ว ยังมีแนวคิดในการพัฒนาเชื่อมโยงนำคาร์บอนเครดิตจากสวนยางที่ได้รับการรับรองจากโครงการ T-VER ไปใช้ประโยชน์ในการชดเชยคาร์บอนเครดิต (Carbon Offsetting) ในห่วงโซ่การผลิตยาง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการชดเชยการปล่อยคาร์บอนส่วนเกินของผู้ประกอบการยาง และก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวที่ยั่งยืนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น